วันนี้ (3 มกราคม) จิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงาน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ให้ผู้ใช้แรงงานมีรายได้อย่างเพียงพอต่อการดำรงชีพและสามารถดูแลครอบครัวได้ โดยเฉพาะเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำต้องสอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจและค่าครองชีพในปัจจุบันอย่างเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้ จะทำให้ลูกจ้างมีกำลังใจในการทำงานซึ่งจะส่งผลต่อเจ้าของธุรกิจและผู้ประกอบการที่จะเติบโตในธุรกิจมากขึ้นจากพละกำลังของลูกจ้าง ทำให้มีพละกำลังในการดำรงชีวิตมากขึ้น
จิรายุกล่าวอีกว่า รัฐบาลได้ดำเนินนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม โดยปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นวันละ 7-55 บาท เป็นอัตราวันละ 337-400 บาท และกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ใน 4 จังหวัด และ 1 อำเภอ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยอง และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดนำร่อง ส่วนจังหวัดอื่นๆ จะทยอยปรับตามต่อไป ทั้งนี้ การปรับค่าแรงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
จิรายุกล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้รัฐบาลยังมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพและให้มีโอกาสเข้าถึงการใช้จ่ายที่จำเป็นโดยการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือผู้ที่ลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐที่มีสัญชาติไทยอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งจะจ่ายเงินแก่กลุ่มเป้าหมายจำนวน 10,000 บาทต่อคน โดยรัฐบาลกำหนดจ่ายเงินครั้งแรกภายในเดือนมกราคมนี้ ผ่านบัญชีพร้อมเพย์ที่เคยลงทะเบียนไว้แล้ว โดยนายกรัฐมนตรียืนยันว่าโครงการนี้จะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมกราคมนี้อย่างแน่นอน