ความจริง มิไคโล มูดริก เคยเล่นให้กับอาร์เซนอลมาแล้ว
แต่ไม่ใช่อาร์เซนอลของอังกฤษนะ เป็นอาร์เซนอลเคียฟ สโมสรฟุตบอลเล็กๆ ในเมืองหลวงของยูเครน ซึ่งมูดริกในวัย 17 ปี ถูก เปาโล ฟอนเซกา ส่งตัวไปให้ยืมใช้งาน
การย้ายออกไปเล่นให้อาร์เซนอลเคียฟเป็นหนึ่งในก้าวแรกที่น่าสนใจของนักเตะ ที่มองจากดาวอังคารก็รู้ว่าเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่มิไคโล หรือ ‘มิชา’ ของทุกคนขาดไปคือ ‘ทัศนคติ’ ในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ
ก่อนหน้าที่จะถูกส่งตัวไปนั้น มูดริกเพิ่งได้รับโอกาสในการลงประเดิมสนามให้กับชัคตาร์ โดเนตสก์ ในเกมฟุตบอลถ้วยของยูเครนในปี 2018
เกมนั้นไม่ใช่เกมที่เขาคนเดียวรอคอย หากแต่ทุกคนในสโมสรที่เห็นเขามาตั้งแต่อายุ 15 ปีก็รอดูเหมือนกันว่ามูดริกจะทำได้แค่ไหนในเกมระดับฟุตบอลอาชีพ หลังจากที่สร้างชื่อลือลั่นมาตั้งแต่ในระดับเยาวชนกับเมตาลิสต์ คาร์คีฟ ก่อนมาอยู่กับดนิโปร และถูกชัคตาร์คว้าตัวมาร่วมทีม
ปรากฏว่าเขาทำได้น่าผิดหวัง และฟอนเซกาโค้ชของสโมสรในขณะนั้นเชื่อว่าเป็นการดีกว่าที่เด็กคนนี้จะถูกส่งตัวออกไปเรียนรู้ชีวิตกับสโมสรอื่นก่อน นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาโดนส่งตัวไปให้อาร์เซนอลเคียฟยืมใช้งาน
ออสการ์ ราตูลูตรา โค้ชทีมรุ่นอายุ 19 ปีของชัคตาร์เล่าถึงเรื่องราวของมูดริกในเวลานั้นว่า “เขามีปัญหาใหญ่ทีเดียวในการจะขึ้นจากระดับเยาวชนมาสู่ระดับนักฟุตบอลอาชีพ
“เขาได้โอกาสครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เขาไม่เคยคว้ามันเลย…มันมีบางอย่างที่ขาดไปในตัวเขา”
เรื่องนี้ ทาราส สเตปาเนนโก กัปตันทีมชัคตาร์ก็เห็นไม่ต่างกัน “ในความเห็นของผม ทัศนคติของเขาแย่มากสำหรับนักฟุตบอลอายุน้อย
“บางครั้งเขาก็ไม่ได้ฟังว่าโค้ชพยายามบอกอะไรกับเขา ตัวผมเองก็พยายามคุยกับเขา พยายามส่งคลิปของชาบี (โค้ชบาร์เซโลนา) ที่พูดเกี่ยวกับนักฟุตบอลดาวรุ่ง มันเป็นบทสัมภาษณ์ที่ดีมากเกี่ยวกับนักฟุตบอลอายุน้อยๆ ว่าทำไมพวกเขาถึงควรจะมีทัศนคติที่ถูกต้อง”
ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทุกคนในทีมชัคตาร์ได้แต่รอคอย
เมื่อไรมูดริกจะโตสักที…
ซาเฮย์ลู เชื่อมจิตวิญญาณ
แล้วเวลานั้นก็มาถึง หลังจากที่ โรแบร์โต เด แซร์บี เข้ามาคุมทีมชัคตาร์ในฤดูกาล 2021/22 ซึ่งในระหว่างนั้นมูดริกโดนส่งตัวไปให้สโมสรอื่นยืมเป็นครั้งที่ 2 อยู่
เด แซร์บี ไม่ได้แตกต่างจากโค้ชคนอื่นที่มองเห็นศักยภาพล้นเหลือในตัวของเขา แต่สิ่งที่แตกต่างไประหว่างเด แซร์บีกับโค้ชคนอื่นคือ เขาเป็นโค้ชคนแรกที่สามารถเชื่อมใจถึงใจกับมูดริกได้เป็นคนแรกจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีโค้ชคนไหนที่เชื่อมโยงกับเขาได้เลย
ที่สำคัญคือเขาตั้งใจที่จะทำให้ได้จริงๆ ดังนั้นเมื่อเข้ามารับงานแล้ว สิ่งแรกๆ ที่เด แซร์บีทำคือการขอเบอร์โทรของมูดริกที่ถูกปล่อยให้ยืมตัวในระหว่างนั้น ก่อนจะพูดกันสั้นๆ ว่า
“นายจะได้เป็นนักฟุตบอลจริงๆ กับฉัน หรือไม่อย่างนั้นนายก็จะไม่มีวันได้เป็นนักฟุตบอลอีก”
ประโยคนี้คือประโยคเปลี่ยนชีวิตของมูดริก และอาจจะเป็นประโยคทองที่สุดในชีวิตของเด แซร์บีด้วย เพราะเขามีส่วนในการเริ่มต้นชีวิตของนักฟุตบอลที่อาจจะมีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย
“มิไคโล มูดริก เป็นหนึ่งในนักฟุตบอลดาวรุ่งที่เก่งที่สุดในโลก
“ถ้าผมไม่สามารถพาเขาขึ้นมาสู่ระดับสูงสุดได้ ผมถือว่านี่เป็นความพ่ายแพ้โดยส่วนตัวของผม” เด แซร์บีกล่าว
ส่วนมูดริกผู้เสียเวลาในชีวิตไปหลายปีอยู่ในเงามืด ก็เริ่มเปล่งประกายในตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
ในระยะเวลาแค่ 1 ฤดูกาลครึ่ง เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเด็กไม่รู้จักโตที่ชอบทำคลิปสนุกๆ ให้กลายมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพเต็มตัวที่พร้อมทุ่มเททุกอย่างในสนาม
โดยที่ยังรักษาพื้นที่เล็กๆ ในการเล่นสนุกของเขาเอาไว้สำหรับแฟนๆ ที่ติดตามเขาอยู่ไม่น้อย
การตอบแทนจากพระเจ้า
ถึงจะถูกมองว่าเป็นเด็กมีปัญหา แต่ไม่ได้หมายความว่ามูดริกไม่เคยทุ่มเทกับการเล่นฟุตบอล
ในทางตรงกันข้ามถึงจะเป็นเด็กดื้อ แต่เขาก็ฝึกซ้อมอย่างหนักเสมอ สิ่งที่เราได้เห็นในสนาม ไม่ว่าจะเป็นสเต็ปการเลี้ยงบอลที่ลื่นไหล การออกบอลให้เพื่อนในทิศทางที่ไม่คาดคิดเหมือนเตะฟุตบอลในสนามโต๊ะเล็กมากกว่าสนามจริง ไปจนถึงลูกเล่นลีลาต่างๆ นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพรสวรรค์เฉพาะตัวอย่างเดียว
มันมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก
พาลคิน เล่าถึงความทุ่มเทของมูดริกว่า “ตอนเขาขึ้นมาทีมชุดแรกแล้ว หลังจบการซ้อมเขาก็ยังอยู่ในสนามและพยายามจะซ้อมต่อไปอีก 1-2 ชั่วโมง
“โค้ชต้องพยายามบอกให้เขาหยุดซ้อมและไปพักผ่อน แต่ก็นั่นแหละเขาเป็นคนทุ่มเท และพระเจ้าก็ตอบแทนเขาด้วยทุกสิ่งที่เขาพยายามลงทุน”
สำหรับ เด แซร์บี เขาเชื่อว่ามูดริกเป็นนักเตะริมเส้นฝั่งซ้ายที่เก่งเป็นลำดับที่ 3 ของโลกในเวลานี้ รองจาก คีเลียน เอ็มบัปเป และ วินิซิอุส จูเนียร์
สถิติจาก Smarterscout ระบุว่า มูดริกเป็นนักเตะที่ชื่นชอบการเลี้ยงบอลไปกับตัวอย่างมาก (คะแนนประเมินสูงถึง 93 จาก 99 คะแนนเต็ม) และเขาก็ชอบท้าทายด้วยการ Take-on หรือดวลกับกองหลังเป็นชีวิตจิตใจด้วย
ตามสถิติบอกว่าถึงเขาจะเลี้ยงเก่งแค่ไหน ไม่ใช่ทุกครั้งที่มันจะประสบความสำเร็จ เพราะมีโอกาสที่เขาจะเลี้ยงไม่ผ่าน (คะแนนเลี้ยงบอล 78 ครั้งจาก 99 คะแนน) หรือเสียบอลสูง (ความสามารถในการเก็บบอลต่ำแค่ 22 จาก 99) แต่มันเป็นวิธีการเล่นแบบ High Risk, High-Reward ที่เสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนจะสูงตามไปด้วย
โดยที่ทีมจะได้ประโยชน์สูงสุดจากเขาในเกมสวนกลับเร็วที่มูดริกสามารถเปลี่ยนจังหวะ (Transition) จากรับเป็นรุกได้อย่างรวดเร็ว
ประหนึ่งสายฟ้าที่ฟาดลงมาใส่คู่ต่อสู้
สายฟ้าสีน้ำเงิน
การสัมผัสบอลจังหวะแรกๆ ของมูดริกในพรีเมียร์ลีกอาจจะลั่นไปนิด แต่ในเวลาไม่นานหลังจากนั้นเขาก็แสดงให้เห็นว่าทำไมเชลซีจึงยอมจ่ายเงินมหาศาลถึง 89 ล้านปอนด์สำหรับนักฟุตบอลวัย 22 ปี ที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวในพื้นที่ข่าวแบบไม่ทันตั้งตัว
นักเตะยูเครนในเสื้อหมายเลข 15 เลี้ยงแหวกตะลุยกองหลังลิเวอร์พูลในกรอบเขตโทษ การคอนโทรลบอลในพื้นที่แคบๆ การตัดสินใจ ความเร็ว การรักษาสมดุล มิไคโล มูดริก เหมือนนักเตะที่อยู่ในโลกของเกม PlayStation มากกว่าโลกของความเป็นจริง
หลังจากจังหวะนั้นเขาก็กลายเป็นจุดศูนย์กลางในเกมรุกของเชลซีในช่วง 35 นาทีแรกของชีวิตใหม่ในพรีเมียร์ลีก และทำให้เกิดเสียงฮือฮาของแฟนฟุตบอลที่ได้เห็นฟอร์มการเล่น รวมถึงเหล่าคนดังในวงการที่ตะลึงกับฝีเท้าของมูดริก
แกรี เนวิลล์ ตำนานแบ็กขวาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทวีตว่า “ได้เห็นมูดริกเล่นแค่ 10 นาที บอกเลยผมไม่เตะบอลกับหมอนี่แน่!”
ส่วน เจอร์เมน จีนาส อดีตกองกลางทีมชาติอังกฤษของสเปอร์ส บอกว่า “ผมคิดว่าอาร์เซนอลควรจะพยายามหาเงินมาจ่ายเป็นค่าตัวมูดริกให้ได้ พระเจ้า นี่มันของจริง”
คำพูดดังกล่าวนั้นอาจจะเป็นรีแอ็กชันที่วันหนึ่งไม่มีความหมายเลยก็ได้ แต่ลึกๆ แล้วอาร์เซนอลเองรู้สึกเสียดายที่พลาดการได้ตัวนักเตะพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมรายนี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังความพยายามในการ ‘หยอด’ กันมาโดยตลอด
โดยช่วงที่ผ่านมา มิเกล อาร์เตตา ผู้จัดการทีม, เอดู ผู้อำนวยการสโมสร ไปจนถึง โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก กัปตันทีมชาติยูเครนต่างพยายามตะล่อมให้มูดริกย้ายมาอาร์เซนอล โดยที่เจ้าตัวเองก็แอบหยอดกลับผ่านการโพสต์บนโซเชียลมีเดียให้ตีความไปในทาง ‘มีใจ’ มาตลอด
แต่สุดท้ายข้อเสนอจากเชลซีที่ดูจริงใจและตั้งใจกว่าเป็นฝ่ายที่ทำให้ชัคตาร์และมูดริกเองยอมที่จะย้ายมาสแตมฟอร์ดบริดจ์
อย่างไรก็ดี นอกจากอาร์เซนอลที่รู้สึกเสียดายแล้ว อีกทีมที่เสียดายไม่แพ้กันคือเบรนท์ฟอร์ด ที่เคยพยายามติดต่อขอซื้อตัวเขามาร่วมทีมในช่วงปิดฤดูกาลแต่ไม่สำเร็จ
และอาจรวมถึงไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ที่เคยเกือบได้ตัวมาในราคาต่ำสุดๆ แค่ 20 ล้านยูโรในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาด้วย
เกรแฮม พอตเตอร์ นายใหญ่เชลซีให้ความเห็นถึงฟอร์มการเล่นของปีกซ้ายรายใหม่ที่สร้างความฮือฮาได้อย่างยิ่งในแบบที่ชวนขนหัวลุกสำหรับทีมคู่แข่งทุกทีม ด้วยการบอกสั้นๆ ว่า
“ที่เห็นน่ะเขายังฟิตไม่เต็มที่เลย”
อ้างอิง: