หลังจากผ่านพ้นไตรมาสแรกของปี 2568 ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยเผชิญไปด้วยความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะปัจจัยของเศรษฐกิจโลก ซึ่งการที่สหรัฐฯ ชะลอขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลก ส่งสัญญาณว่า โดนัลด์ ทรัมป์ อาจมีการทบทวนนโยบายต่างๆ แต่ทั้งหมดเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
ภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์กรุ๊ป จำกัด หรือ MI GROUP ฉายภาพว่า ถึงอย่างไรสถานการณ์ภายในประเทศไม่ได้มีแค่สัญญาณลบเท่านั้น แต่ยังพอมีปัจจัยบวกให้เห็นอยู่บ้าง
โดยเฉพาะในช่วงการจัดงาน Motor Show 2025 ภายในงานมียอดจองรถรวมทั้งหมด 77,379 คัน เพิ่มขึ้น 41.6% โดยเฉพาะรถที่ขายดีสุดคือรถ EV มีสัดส่วนยอดจองสูงถึง 65% ของยอดจองทั้งหมด ถือว่าเป็นตัวเลขยอดจองที่สูงมาก ถ้าเทียบจากปี 2024 สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคบางกลุ่มยังมีความเชื่อมั่นและมีกำลังซื้อ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘MI GROUP’ เผย 6 ธุรกิจเทงบไม่หยุด เน้นลงสื่อออนไลน์มากกว่า TV แต่เม็ดเงินโฆษณาปี 2024 โตเล็กน้อย 4% ผลพวงหนี้ครัวเรือน-กำลังซื้อซบ
- สื่อโฆษณาบนแพลตฟอร์มค้าปลีกกำลังมาแรง แซงสื่อโทรทัศน์ได้ภายในปี 2571 ‘GrabAds’ ขอเกาะเทรนด์ โดดเข้าเจาะลูกค้า FMCG-รถยนต์-การเงิน
- MI GROUP เดินหน้าปลดล็อกศักยภาพ SME ไทย ด้วยเครื่องมือ MiAi ตัวช่วยวิเคราะห์ตลาดอย่างแม่นยำ พร้อมรับมือธุรกิจแข่งเดือด
อีกหนึ่งงานที่ส่งสัญญาณบวก คืองาน Maha Songkran Festival 2025 ที่จัดขึ้นในพื้นที่สนามหลวง ระหว่างวันที่ 11-15 เม.ย. 2025 จากข้อมูลพบว่ามีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1.1 ล้านคน สร้างเม็ดเงินสะพัดกว่า 4,097.17 ล้านบาท ตอกย้ำศักยภาพ Soft Power ไทยที่สามารถดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เป็นอย่างดี และในปีนี้ภาครัฐยังเตรียมจัดอีเวนต์อย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 36 ล้านคน เพื่อมาทดแทนจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป
จากความเคลื่อนไหวทั้งหมดมีผลต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมโฆษณา จากเดิมที่คาดว่าในปีนี้จะโต 4.2% หรือคิดเป็นมูลค่าที่ 92,048 ล้านบาท แต่เมื่อมีความท้าทายเต็มไปหมด ประเมินว่าจะโตได้มากสุดแค่ 2.2% คิดเป็นมูลค่า 87,666 ล้านบาท
ถามว่าทำไม MI ถึงปรับลดคาดการณ์ เนื่องจากพบว่าสินค้าหลายแบรนด์ได้จำกัดงบด้านโฆษณามากขึ้น และหันมาเน้นสร้างยอดขายในช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก เพราะสามารถวัดผลตัวเลขได้ ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินเทไปอยู่บนสื่อดิจิทัลและคาดว่าจะเติบโตได้ถึง 10% หรือคิดเป็นมูลค่าที่ 34,556 ล้านบาท
ทั้งนี้ การทำตลาดบนดิจิทัลแค่ช่องทางเดียวอาจไม่สำเร็จ ซึ่งต้องไม่ลืมว่าสินค้ามีกลุ่มลูกค้าต่างกันและปัจจุบันตลาดมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ดังนั้นการใช้สื่อดิจิทัลทางเดียวอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป สิ่งสำคัญคือนักการตลาดต้องวางแผนใช้กลยุทธ์ Media Mix ใช้ทั้งสื่อดิจิทัลและสื่อออฟไลน์ รวมโทรทัศน์และสื่อนอกบ้านในสัดส่วน 50%
“จริงๆ แล้วสื่อทีวียังมีความสำคัญในแง่ของการสร้างความน่าเชื่อถือเหมาะที่แบรนด์จะใช้พรีเซนเตอร์เข้าช่วย เพราะทีวีเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้สูงอายุได้มากที่สุด” ภวัตย้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นในปีนี้ไม่ใช่ปีที่นักการตลาดจะหว่านงบยิงโฆษณากว้างหรือแคบเกินไป เพราะปัจจุบันผู้บริโภคมีพฤติกรรมแตกต่างกัน ซับซ้อนและมีความเฉพาะตัวมากขึ้น ดังนั้นการกำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจับจ่ายสินค้าที่แตกต่างกัน ถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในวงการตลาด
โดยกลุ่มเป้าหมายหลักๆ ที่นักการตลาดต้องให้ความสำคัญในปีนี้ เริ่มตั้งแต่กลุ่มแรงงานเกษตรที่มีกว่า 12 ล้านคน คนกลุ่มนี้ยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและช่วยกระตุ้นตลาด FMCG ด้วยเช่นกัน ตามด้วยแรงงานบริการที่มีกว่า 5 ล้านคน กลุ่มสำคัญที่สร้างประสบการณ์บริการในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ร้านอาหาร คาเฟ่ โรงแรม ไปจนถึงภาคบริการสุขภาพและท่องเที่ยว คนกลุ่มนี้คือฟันเฟืองที่มักถูกมองข้าม แต่มีพลังการจับจ่ายและเป็นกลุ่มที่เข้าถึงสื่อผ่านมือถือสูงมาก
รวมถึง Gen Z อายุระหว่าง 13-29 ปี ที่มีอยู่ 13 ล้านคน โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่มีนิยามโลกในแบบของตัวเอง ทั้งพฤติกรรม การซื้อสินค้า และการเสพสื่อ คนกลุ่มนี้คือ Trend Setter เป็นแรงขับเคลื่อนของทุกแพลตฟอร์ม ตลอดจนพนักงานบริษัทที่มีกว่า 18 ล้านคน ถือเป็นกลุ่มชนชั้นกลางที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง มีกำลังซื้อ ทั้งในเรื่องการใช้จ่าย สุขภาพและความมั่นคง
อีกหนึ่งกลุ่มคือผู้สูงวัยที่มีอยู่ 18.6 ล้านคน เป็นกลุ่มใหญ่มากที่มีทั้งเวลาและกำลังซื้อ แต่ยังเป็นกลุ่มที่อาจไม่ได้ไวกับเทคโนโลยีมากนัก และ Micro Sellers พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์และออฟไลน์ที่มีอยู่ 4 ล้านคนขึ้นไป เจ้าของร้านเล็กๆ แต่ใช้ทุกเครื่องมือเพื่อสร้างรายได้ ทั้งไลฟ์ ขายหน้าร้านและโซเชียล แบรนด์ที่เข้าถึงและสนับสนุนกลุ่มแม่ค้าพ่อค้าออนไลน์ได้จะได้พลังจากปากต่อปากที่มหาศาล
พร้อมกันนี้ยังมีแรงงานต่างด้าวมากกว่า 10 ล้านคน คนกลุ่มนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบเศรษฐกิจไทย ที่ไม่ได้แค่ทำงาน แต่ใช้จ่าย กิน เที่ยว รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่พร้อมใช้จ่ายอย่างหนัก เรียกได้ว่าทุกกลุ่มมีผลต่อการวางกลยุทธ์ของนักการตลาดอย่างมาก
“สุดท้ายแล้วปีนี้อาจไม่ใช่ปีทอง แต่ก็ไม่ใช่ปีถอย การทำตลาดจะไม่เพียงสร้างยอดขายได้อย่างเดียว แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ผู้เล่นที่เข้าใจคนไม่ใช่แค่ข้อมูล แต่ต้องมองลึกกว่าตัวเลข ใช้สื่ออย่างแม่นยำ ถึงจะเป็นผู้ที่คว้าโอกาสท่ามกลางความไม่แน่นอนนี้ได้” ภวัตย้ำ