วันนี้ (17 กรกฎาคม) ที่ทำเนียบรัฐบาล ธนกร วังบุญคงชนะ รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า เรื่องการเสนอนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยจบไปแล้ว โดยจะไม่มีการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีแข่งในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2
ส่วนการที่ฝ่าย 8 พรรคร่วมยังยืนยันที่จะเสนอชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้น เคยย้ำไปหลายครั้งแล้วว่าควรมีการเสนอเพียงครั้งเดียว เพราะทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ก็ทราบวิสัยทัศน์ของประเทศไทยอยู่แล้ว และควรเปิดโอกาสให้พรรคอันดับ 2 มีสิทธิเสนอชื่อ
ส่วนหากเปิดโอกาสให้พรรคอันดับ 2 เสนอชื่อนายกฯ จะต้องมีการยกเลิก MOU หรือไม่นั้น ธนกรระบุว่า ไม่ขอก้าวล่วง แต่เชื่อว่าพรรคการเมืองทุกฝ่ายทราบข้อมูลเชิงลึกอยู่แล้วว่าถ้ายังมีก้าวไกลร่วมรัฐบาล ส.ว. ก็ไม่โหวตให้อยู่แล้ว และไม่ควรเอา 14 ล้านเสียงมาอ้าง เพราะมีเป็นล้านเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 112 ในเมื่อพรรคก้าวไกลไม่ถอย ฝั่งอื่นก็ไม่ถอยเช่นกัน
ส่วนมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ที่พรรครวมไทยสร้างชาติจะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย ธนกรระบุว่า ต้องคุยกันในพรรค เพราะขณะนี้สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไป เชื่อว่ามีการพูดคุยกันได้มากขึ้น เช่นเดียวกับขั้วรัฐบาลเดิมก็ยังคุยกันตลอด และหากพรรคอันดับ 1 และ 2 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ก็ให้เป็นพรรคอันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย ซึ่งส่วนตัวมองว่า อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ และคิดว่าไม่ควรใช้เวลานานเกินไป ขออย่าหลอกตัวเองดีกว่า เชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้วว่าการเมืองจะเดินไปแนวทางไหน
ธนกรระบุอีกว่า ตอนนี้เหมือนฝั่งหนึ่งเดินหน้าขอเสียงจาก ส.ว. แต่อีกฝั่งหนึ่งกลับดึงมวลชนมาล่าแม่มด ปลุกม็อบลงถนน ซึ่งหากพรรคก้าวไกลไม่สามารถทำได้ก็ไปเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ดี รอบหน้าคะแนนเสียงอาจจะมามากกว่าเดิมก็ได้ และควรปล่อยไปตามกลไก ขออย่าไปปลุกกระแสมวลชน เพราะขณะนี้ควรรักษาความสงบของบ้านเมืองไว้ดีกว่า
ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ได้กลัวหรือจะเปลี่ยนใจไปโหวตให้ เพราะปัจจุบันมีการดำเนินคดี พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์กันหลายคน และฟ้องร้องกันไปจนต้องมาขอโทษ ทีหลังไม่ควรทำแล้ว เพราะเมื่อเวลาถูกดำเนินคดีก็ไม่มีใครช่วย และตนไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวในโซเชียลมีเดีย ขอให้มีการพูดคุยกันดีกว่า ส่วนในเรื่องการเมืองก็ว่ากันไป แต่ย้ำว่าประเทศต้องมีนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่าภาคธุรกิจเอกชนก็อยากให้มีการตั้งรัฐบาลโดยเร็ว
ส่วนกรณีที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุว่า ส.ส. เพื่อไทยและพรรคก้าวไกลโดนขั้วรัฐบาลเดิมเรียกไปคุยเพื่อซื้อตัวนั้น ตนมองว่าเป็นลูกไม้เดิมๆ การดึงเสียง ส.ส. มาไม่ใช่เรื่องง่าย และเชื่อว่าเป็นการพูดเพื่อดิสเครดิตมากกว่า ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยสามารถเสนอชื่อนายกฯ ได้ เพราะเป็นไปตามกลไกของสภา แต่หากยังมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลก็เป็นกลไกสำคัญที่ผ่านยาก ต้องมีการปรับ ซึ่งส่วนตัวมองว่าพิธาสามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะเป็นคนมีความรู้ความสามารถ แต่ไม่รู้ว่ากลไกของพรรคถูกปกคลุมด้วยอะไร
เมื่อถามว่าหากพรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านพรรคเดียวแล้วทุกพรรคที่เหลือจับมือเป็นรัฐบาลสามารถเป็นไปได้หรือไม่ ธนกรระบุว่า เป็นไปได้หมด เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมทุกอย่างจะจบลง เพราะประชาชนรอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และเชื่อว่าประชาชนจะเข้าใจในกระบวนการ เพราะทุกคนรู้หมดว่าทิศทางการเมืองเป็นแบบไหน การสร้างความเกลียดชังในสังคมไม่ควรเกิดขึ้น
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้วจะเป็นจะตาย เป็นเรื่องปกติ ชีวิตสามารถทำอะไรให้สังคมได้มากมาย และผมเคยพูดไปแล้วว่าผมก็พร้อมเป็นฝ่ายค้าน อย่าไปยึดติดอะไรมาก” ธนกรกล่าว
ทั้งนี้ในช่วงท้ายผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่ ธนกรระบุว่า ก็สามารถเป็นได้ และพรรคอันดับ 3 อย่างอนุทินก็เหมาะสม หากสุดท้ายไปกันไม่ไหว เช่นเดียวกับ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นไปได้ แต่ท่านเคยพูดแล้วว่าจะไม่มีการเสนอชื่อแข่ง