Meta เตรียมเปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์ในเชิงพาณิชย์ หวังท้าชิง AI ของคู่แข่งบิ๊กเทคชื่อดังทั้ง Microsoft และ Google โดยมีคุณสมบัติช่วยให้บริษัทสตาร์ทอัพและธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างซอฟต์แวร์แบบกำหนดเองบนเทคโนโลยีดังกล่าวได้
ความเคลื่อนไหวนี้จะทำให้ Meta เข้าร่วมการแข่งขันกับ OpenAI ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Microsoft และ Google ซึ่งต่างแข่งขันเพื่อพัฒนา AI เชิงสร้างสรรค์ ซอฟต์แวร์นี้สามารถสร้างข้อความ รูปภาพ และโค้ดได้ โดยขับเคลื่อนด้วยโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ได้รับการฝึกอบรมกับข้อมูลจำนวนมากและต้องการพลังการประมวลผลมหาศาล
Meta ได้เปิดตัวโมเดลภาษาของตัวเองที่รู้จักกันในชื่อ LLaMA ให้แก่นักวิจัยและนักวิชาการเมื่อต้นปีนี้ แต่เวอร์ชันใหม่จะพร้อมใช้งานอย่างกว้างขวางและปรับแต่งได้ตามที่บริษัทต้องการ และคาดว่าจะมีการเปิดตัวในเร็วๆ นี้ แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องระบุ
Meta กล่าวว่า LLM ของตนคือ ‘Open Source’ ซึ่งหมายความว่ารายละเอียดของโมเดลใหม่จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวทางของคู่แข่งเช่น OpenAI ที่โมเดลล่าสุด GPT-4 คือสิ่งที่เรียกว่ากล่องดำ โดยข้อมูลและโค้ดที่ใช้สร้างโมเดลนั้นไม่ได้เปิดเผยให้บุคคลที่สามได้ใช้งาน
การเปิดตัวล่าสุดของ Meta เกิดขึ้นท่ามกลางการแข่งขันอย่างร้อนระอุระหว่างกลุ่มเทคโนโลยีในซิลิคอนแวลลีย์เพื่อสร้างตัวตนในฐานะผู้มี AI ที่โดดเด่น
แม้เทคโนโลยี Open Source ของ Meta จะฟรีในขณะนี้ แต่แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องเผยว่าบริษัทได้สำรวจการเรียกเก็บเงินจากลูกค้าในระดับองค์กรเพื่อความสามารถในการปรับแต่งโมเดลอย่างละเอียดตามความต้องการ โดยใช้ข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัทเอง อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องอีกรายระบุว่า Meta ยังไม่มีแผนเรียกเก็บเงินในปัจจุบันและจะไม่ทำเช่นนั้นในการเปิดตัวที่กำลังจะมาถึง
ประโยชน์ของโมเดลแบบ Open Source คือมีโอกาสที่ผู้ใช้จะครอบครองสูงขึ้น โดยใช้ข้อมูลที่มากขึ้นจากนั้นป้อนข้อมูลเพื่อให้ AI ประมวลผล ยิ่ง LLM มีข้อมูลมากเท่าใด ความสามารถก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ โมเดล Open Source ยังช่วยให้นักวิจัยและนักพัฒนาสามารถตรวจจับและแก้ไขจุดบกพร่องเพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีและความปลอดภัยไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่บริษัทเทคโนโลยีอย่างเช่น Meta ต้องเผชิญกับการตรวจสอบข้อเท็จจริงหลายปีเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวและข้อมูลที่ผิดพลาด
แม้ว่าการให้ซอฟต์แวร์ฟรีอาจดูขัดแย้งกับแนวทางการสร้างรายได้ของบริษัท แต่ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าองค์กรต่างๆ สามารถใช้กลยุทธ์นี้เพื่อจับตลาดใหม่ๆ ซึ่ง Meta ตระหนักดีว่าบริษัทกำลังตามหลังเทรนด์ AI ในปัจจุบัน และกลายเป็นสิ่งที่จุดประกายให้บริษัทเร่งสร้างเทคโนโลยีใหม่นี้ขึ้นมา
ถึงกระนั้น AI แบบ Open Source ยังมีความเสี่ยงอย่างชัดเจน เพราะผลิตภัณฑ์อาจถูกสร้างขึ้นอย่างมีเจตนาร้ายจากผู้ไม่หวังดี รายงานฉบับหนึ่งพบว่าจำนวนภาพการล่วงละเมิดทางเพศเด็กที่สร้างโดย AI ทางออนไลน์กำลังเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในกฎหมายด้านลิขสิทธิ์และทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (11 กรกฎาคม) Sarah Silverman นักแสดงตลกชื่อดัง ได้ยื่นฟ้อง Meta และ OpenAI โดยอ้างว่างานของเธอ (Sarah) ถูกใช้ในการฝึกนางแบบโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเธอ
Yann LeCun รองประธานและหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ AI ของ Meta เปิดเผยว่า บริษัทกำลังพิจารณาทางเลือกที่อยู่ในระหว่างการตัดสินใจว่า AI นั้นอันตรายเกินกว่าที่จะใช้งานหรือไม่ และควรอยู่ภายใต้การควบคุมที่แน่นหนา ซึ่งมีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งที่สามารถทำได้ หรือในทางกลับกัน ทำให้ AI เป็นแบบ Open Source และผลักดันให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมต่อการทำงานของ AI
อ้างอิง: