ตอนนี้ Meta ได้เผยแพร่ภาพรวมของวิธีการที่ครีเอเตอร์จะใช้เพื่อเพิ่มการเข้าถึงให้มากที่สุด และเชื่อมต่อกับแฟนๆ ได้มากขึ้นผ่านหน้าฟีดของพวกเขา
แม้คำแนะนำดังกล่าวจะเน้นไปที่ครีเอเตอร์บนแพลตฟอร์มทั้งหลาย แต่มันก็ใช้ได้กับทุกคน ซึ่งนี่สัมพันธ์กับวิธีการทำงานของหน้าฟีดบนแพลตฟอร์ม และหากคุณต้องการเพิ่ม Reach ไปยังกลุ่มเป้าหมายบน Facebook มากขึ้น วิธีเหล่านี้จะช่วยคุณได้อย่างแน่นอน แต่มันอาจไม่เป็นผลดีต่อสังคม และมี 2 เหตุผลว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- วงการศิลปะเจอคำถามใหม่ ตกลงแล้ว ‘ศิลปิน’ คืออะไร? หลัง AI ชนะการประกวดวาดภาพ
- ‘6 คนดัง’ กับคอลเล็กชันของสะสมส่วนตัวที่ราคาไม่ธรรมดา
- เหมือนอย่างที่คิดไหม? AI จำลองหน้าตัวละครใน Harry Potter โดยอ้างอิงจากคำบรรยายในหนังสือ
อย่างแรกเลยคือ Meta เคยกล่าวในอดีตว่า อัลกอริทึมของหน้าฟีดบน Facebook อาศัยองค์ประกอบเหล่านี้ในการจำแนกว่าใครจะเห็นโพสต์
- คอนเทนต์อะไรที่ถูกโพสต์ มีโพสต์ไหนบ้างจากเพื่อน ครีเอเตอร์ หรือเพจอื่นๆ ที่เราสามารถแสดงได้
- ใครบ้างจะชอบเนื้อหานี้ โดยจะพิจารณาสัญญาณต่างๆ มากมาย เช่น ใครเป็นคนโพสต์คอนเทนต์ และเมื่อมีการโพสต์ หัวข้อคืออะไร และพฤติกรรมของผู้ใช้เก่าๆ เป็นอย่างไร เป็นต้น
- ผู้คนมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมกับโพสต์มากน้อยเพียงใด โดยพยายามคาดการณ์ว่าบุคคลนั้นจะมีส่วนร่วมกับโพสต์มากน้อยเพียงใด
- คนดูจะสนใจโพสต์นี้ขนาดไหน จากข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมจากโพสต์และเนื้อหา ส่วนใดควรได้รับความสำคัญ
ทั้งหมดนี้ทำให้เอนเกจเมนต์กลายเป็นจุดโฟกัสหลัก โดยแสดงคอนเทนต์ให้ผู้คนเห็นและทำให้พวกเขาคลิกเข้าไป แสดงความคิดเห็น แชร์ และกดไลก์ ฯลฯ
แต่องค์ประกอบเหล่านั้นอาจเป็นปัญหาได้ ขึ้นอยู่กับว่าอัลกอริทึมให้น้ำหนักสิ่งต่างๆ อย่างไร ทั้งนี้ นี่คือองค์ประกอบที่อัลกอริทึมใช้ในการชั่งน้ำหนักคอนเทนต์ต่างๆ ซึ่งหมายความว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณควรพิจารณาหากคุณต้องการค่า Reach และตอบสนองให้มากที่สุดต่อบนโพสต์ Facebook ของคุณ
และส่วนนี้คือสิ่งที่น่าสนใจอย่างมากหากนำเอนเกจเมนต์ปี 2022 มาพิจารณา โดยในคำอธิบาย Meta กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทมองเอนเกจเมนต์ได้ 2 ทาง
- Connected Distribution: โพสต์ของคุณถูกเห็นโดยคนที่ติดตามคุณบน Facebook นี่คือ Audience หลักของคุณ
- Unconnected Distribution: คนไม่ติดตามคุณเห็นโพสต์ของคุณ แต่อาจสนใจเนื้อหาของคุณ การกระจายประเภทนี้อาจมาจากผู้ใช้รายอื่นที่แชร์โพสต์ของคุณต่อๆ ไป หรือจากคำแนะนำของเราในส่วน Suggested for You
ทั้งนี้ เอนเกจเมนต์ทั้งสองประเภทนี้อยู่กับ Facebook มาหลายปีแล้ว แต่มันถูกเน้นให้เห็นชัดเจนมากขึ้น เนื่องจาก Meta พยายามที่จะแนะนำเนื้อหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ลงบนฟีดของคุณ
โดยย้อนกลับไปเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta ระบุว่า แผนของบริษัทตอนนี้คือการเพิ่มปริมาณคอนเทนต์ที่แนะนำโดย AI บนหน้าฟีดของผู้ใช้เป็น 2 เท่าภายในสิ้นปีนี้
“ตอนนี้ AI ของเราแนะนำเนื้อหาประมาณ 15% ของเนื้อหาบนฟีด Facebook และมากกว่านิดหน่อยบนฟีด Instagram ที่จะแนะนำบุคคล กลุ่ม หรือบัญชีที่คุณไม่ได้ติดตามมาให้คุณ เราคาดหวังว่าตัวเลขเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในสิ้นปีหน้า” มาร์กกล่าว
หรือก็คือ Unconnected Distribution ถูกกำหนดให้เป็นปัจจัยที่ใหญ่กว่ามากในการกำหนดค่า Reach ของโพสต์บน Facebook ซึ่งหมายความว่า ธุรกิจทั้งหลายจำเป็นต้องพิจารณาว่า Unconnected Distribution จะทำงานอย่างไรในกระบวนการทำงานที่กว้างขึ้น
ซึ่งสิ่งที่ง่ายที่สุดในการทำเช่นนั้นคือ การมี ‘ดราม่า’ โดยจากการศึกษาพบว่า ความโกรธเป็นอารมณ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายที่สุดบนโซเชียลมีเดีย คุณต้องสร้างอารมณ์ให้กับเนื้อหาของคุณ และนี่คือการตอบสนองโดยสัญชาตญาณ 2 แบบที่มีแนวโน้มว่าจะทำให้คนทั้งหลายพิมพ์บนโพสต์คุณได้มากที่สุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแชร์
เช่นเดียวกับการโพสต์ข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ของคุณดีแค่ไหนอาจจะไม่มีใครสนใจ แต่หากตอบกลับด้วยคำที่ล่อแหลม คุณจะกลายเป็นคนที่ถูกพูดถึงบนอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็วในวันนั้น แม้จะมีความเสี่ยงด้านชื่อเสียงก็ตาม
อ้างอิง: