วันนี้ (6 กุมภาพันธ์) สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์ระบุว่า ตามที่จะมีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 8 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) เป็นพิเศษ ในวันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 โดยมีการบรรจุวาระเร่งด่วน เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. … ตามที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอบรรจุอยู่ในวาระ
สมาคมนักข่าวฯ เสนอให้ถอนร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวฯ ออกจากการพิจารณาของที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพราะร่างกฎหมายนี้ดำเนินการร่างและผ่านขั้นตอนยาวนาน ขณะที่บริบทและสังคมสื่อเปลี่ยนแปลงไปมาก ยังมีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะกับยุคสมัย และมีสื่อใหม่ๆ เกิดขึ้นที่ไม่เข้าใจที่มา หลักคิด และแนวทางของกฎหมายฉบับนี้
สมาคมนักข่าวฯ ได้รับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย พบว่า กำลังมีการถกเถียงครั้งใหญ่ในวิชาชีพสื่อมวลชนของฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยที่มีความกังวลต่อร่าง พ.ร.บ. ในหลายมาตรา และขาดการมีส่วนร่วมของคนในวิชาชีพสื่อมวลชนอย่างทั่วถึง
พร้อมกับกังวลประเด็นการเปิดช่องให้รัฐใช้อำนาจแทรกแซงความอิสระของสื่อมวลชนและทำลายกลไกการกำกับดูแลกันเอง โดยเฉพาะที่มาของคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนและที่มาของรายได้สภาวิชาชีพสื่อมวลชน เพราะร่าง พ.ร.บ. ระบุในบทเฉพาะกาลให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคณะกรรมการในวาระเริ่มแรก
รวมทั้งให้รัฐบาลจ่ายเงินให้ทุนประเดิมและจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่าย รวมถึงเงินที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ปีละไม่ต่ำกว่า 25 ล้านบาท
สมาคมนักข่าวฯ เห็นว่า รัฐสภาควรคำนึงถึงการรับรู้และความมีส่วนร่วมของสังคมที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายใดๆ โดยตรงในฐานะเจ้าภาพที่ย่อมรู้ว่ากฎหมายจะเข้าสภาช่วงเวลาใด สมควรที่จะกำหนดเวลาจัดเวทีสาธารณะล่วงหน้า เพื่ออธิบายให้เข้าใจในวงกว้าง และให้หลักประกันในหลักการที่เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของสังคมที่เกี่ยวข้อง แต่กลับละเลยเหมือนไม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่จะถูกบังคับใช้และเกี่ยวข้องกับกฎหมายฉบับนี้ และมีทีท่าจะเร่งรีบรวบรัดให้กฎหมายออกมามีผลบังคับใช้ใน 3 วาระ
จึงเสนอให้คณะรัฐมนตรีถอนร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับดังกล่าวออกจากการประชุมร่วมของรัฐสภา และดำเนินการจัดเวทีเพื่อชี้แจงต่อสาธารณะ ตอบคำถามและรับฟังความคิดเห็น โดยเฉพาะแวดวงสื่อมวลชนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายโดยตรง มิฉะนั้นจะเป็นการบังคับปฏิรูปที่ทุกภาคส่วนไม่ได้มีโอกาสที่จะร่วมกัน
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย