หลังจากที่ Matthew Perry เสียชีวิตจากการจมน้ำในอ่างจากุซซีด้วยวัยเพียง 54 ปี เมื่อเดือนตุลาคม ปี 2023 ช่วงที่ผ่านมาก็ได้มีการสืบสวนคดียาเสพติดเพื่อหาสาเหตุการตายของเขา และล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำการจับกุมผู้ต้องหา 5 รายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสูญเสียในครั้งนี้เรียบร้อยแล้ว
กระทรวงยุติธรรมแถลงข่าวเผยผลการสืบสวนคดียาเสพติดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม โดยพวกเขาพบว่ามี ‘เครือข่ายอาชญากรรมใต้ดิน’ ที่อยู่เบื้องหลังการเสียชีวิตของ Matthew Perry ซึ่งมีทั้งหมอและผู้ช่วยของนักแสดงผู้ล่วงลับ ที่พากันฉกฉวยโอกาสจากเขาโดยการขายเคตามีนหรือยาเคให้กับเขาอย่างเป็นกระบวนการ
อัยการสหรัฐฯ เผยว่า “เครือข่ายนี้มีทั้งผู้ช่วยที่อาศัยอยู่กับเขา, ตัวกลาง, แพทย์ 2 คน และผู้ค้ายารายใหญ่ที่รู้จักกันในนาม ‘The Ketamine Queen’ จำเลยเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากปัญหาการเสพติดของ Perry เพื่อตนเอง พวกเขารู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด พวกเขารู้ว่าสิ่งที่พวกเขาทำอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตของ Perry แต่พวกเขาก็ทำมันอยู่ดี ท้ายที่สุดแล้วจำเลยเหล่านี้สนใจในการเสาะหาประโยชน์จาก Perry มากกว่าความเป็นอยู่ของเขา”
จำเลยหลักในคดีนี้คือแพทย์นาม Salvador Plasencia และผู้ค้ายา Jasveen Sangha โดยพวกเขาทำงานร่วมกันกับแพทย์อีกคนนาม Mark Chavez และผู้ช่วยของ Matthew Perry อย่าง Kenneth Iwamasa รวมไปถึงโบรกเกอร์นาม Erik Fleming ในการจัดหายาเคมาขายให้กับ Matthew Perry ซึ่งตอนนี้ Chavez, Iwasama และ Fleming ต่างก็ยอมรับสารภาพแล้ว ในขณะที่จำเลยหลักอีก 2 คนไม่ยอมรับสารภาพ และจะขึ้นศาลไต่สวนคดีในเดือนตุลาคมนี้
มีการรายงานด้วยว่าในช่วงเวลา 2 เดือนในฤดูใบไม้ร่วงปี 2023 กลุ่มจำเลยได้จัดหาเคตามีนจำนวนราว 20 ขวดให้กับ Matthew Perry โดยแลกกับเงินสดจำนวน 55,000 ดอลลาร์ หรือราว 1.9 ล้านบาท ซึ่งหมอ Salvador Plasencia ยังส่งข้อความนินทา Matthew Perry ด้วยว่า “ฉันอยากรู้ว่าไอ้หน้าโง่ตัวนี้จะจ่ายให้เราเท่าไร”
นอกจากนั้นครั้งหนึ่งเขายังเคยฉีดเคตามีนผิดกฎหมายให้กับ Matthew Perry และมองดูเขา ‘แน่นิ่งและความดันเลือดพุ่งสูง’ แต่ถึงอย่างนั้น Salvador Plasencia ก็ยังทิ้งเคตามีนไว้ให้ Matthew Perry อีก โดยฝากผู้ช่วย Kenneth Iwamasa ให้บริหารจัดการ ซึ่งเขาก็รู้ดีว่าในช่วงนั้น Matthew Perry อาการแย่ลงเรื่อยๆ และไม่สามารถควบคุมการเสพติดของตัวเองได้แล้ว แต่เขาก็ยังเสนอขายเคตามีนให้กับ Matthew Perry ต่อไป โดยคิดเงินจำนวน 2,000 ดอลลาร์ต่อ 1 ขวด
ภาพ: Kevin Winter / Getty Images
อ้างอิง:
