ณ เมืองมาราเกซ ประเทศโมร็อกโก ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประชุมใหญ่ประจำปีของธนาคารโลก (World Bank Group) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ภายใต้ชื่องานว่า Marrakech 2023 World Bank Group – IMF Annual Meetings ระหว่างวันที่ 9-15 ตุลาคม
การประชุมในครั้งนี้ THE STANDARD ในฐานะตัวแทนสื่อจากประเทศไทย ได้รับเชิญจากทาง World Bank Thailand เพื่อถ่ายทอดบรรยากาศและเนื้อหาสำคัญที่เกิดขึ้นในงาน พร้อมทำหน้าที่ในการสื่อสารเกี่ยวกับการประชุมประจำปี 2026 ซึ่งจะถูกจัดขึ้นที่ประเทศไทย
โดยปกติแล้วการประชุมประจำปีของ World Bank Group และ IMF จะจัดขึ้นที่เมือง วอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ก่อนจะเวียนไปจัดที่ประเทศอื่นในทุกๆ 3 ปี
ธีมหลักของงาน Annual Meetings ปีนี้ ประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่
- Building Economic Resilience หรือการสร้างความยืดหยุ่นและการฟื้นตัวที่รวดเร็วให้กับเศรษฐกิจที่อยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความอ่อนแอ โดยผู้กำหนดนโยบายควรยกระดับมาตรการที่ช่วยรองรับความเปราะบางในด้านต่างๆ และให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงอื่นๆ เช่น ความมั่นคงทางอาหาร ภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เป็นต้น
- Securing Transformational Reforms หรือการทำให้มั่นใจว่าแต่ละประเทศจะสามารถปฏิรูปเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างเพื่อกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ และก่อให้เกิดความเท่าเทียมและยั่งยืน
- Reinvigorating Global Cooperation หรือการกระตุ้นให้ความร่วมมือในระดับโลกกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังจากที่ความร่วมมือระหว่างประเทศแตกออกเป็นจุดย่อยมากขึ้นเรื่อยๆ
จากการกล่าวเปิดงานและเวทีต่างๆ ในวันแรก หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือคำกล่าวของ คริสตาลินา จอร์เจียวา ผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งพูดผ่านเวที CSO Townhall โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญขององค์กรภาคประชาสังคม (Civil Society Organization: CSO)
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การกระตุ้นให้แต่ละประเทศปรับปรุงนโยบายด้านภาษีของตัวเอง โดยเฉพาะประเทศที่มีสัดส่วนรายได้จากภาษีต่ำกว่า 15% ของ GDP ซึ่งรายได้ภาษีที่ต่ำกว่า 15% จะทำให้การทำนโยบายสาธารณะต่างๆ ทำได้ยากขึ้น
นอกจากนี้ จอร์เจียวาย้ำว่าความร่วมมือกันในระดับนานาชาติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก แม้ว่าเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่หลายคนคาดคิด และทำให้โอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวแบบ Soft Landing เป็นไปได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แต่ละประเทศยังจำเป็นจะต้องระมัดระวังอย่างมาก เพราะการเติบโตโดยเฉลี่ยของเศรษฐกิจโลกยังไม่สามารถกลับมาอยู่ในจุดเดิมเท่ากับช่วงก่อนโควิด
ย้อนกลับไปช่วงก่อนโควิด เศรษฐกิจโลกโตเฉลี่ย 3.8% แต่ตอนนี้การเติบโตน่าจะเหลือเพียงประมาณ 3% เท่านั้น
จากสถานการณ์ปัจจุบัน จอร์เจียวาแนะนำให้ผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายให้ความสำคัญกับ 3 แนวนโยบายที่สำคัญ
ข้อแรกคือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างเสถียรภาพทางการเงิน เพราะแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายในหลายๆ ประเทศ ซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่เรียกว่า Higher for Longer หรือการที่อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงยาวนานกว่าที่คิด พร้อมกับเตือนให้แต่ละประเทศระมัดระวังการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อกลับมาพุ่งสูงอีกครั้ง
ข้อสองคือ การวางรากฐานเรื่อง Inclusive และการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านการปฏิรูปและสร้างความเข้มแข็งให้กับสถาบันต่างๆ ซึ่งนโยบายนี้สามารถทำได้ผ่าน 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1. ลงทุนในคน เช่น การศึกษา 2. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น พลังงานสะอาด ดิจิทัล หรือแม้แต่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และ 3. ยกระดับธรรมาภิบาลและลดข้อกำหนดทางการค้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลิตผลได้ราว 8% ภายใน 4 ปี
ข้อสามคือ กระตุ้นความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งร่วมกัน หลังจากที่การเชื่อมต่อระหว่างประเทศทำได้ยากขึ้น เนื่องจากอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น
จอร์เจียวากล่าวเพิ่มเติมว่า “เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศที่เปราะบางรวมทั้งประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ เราต้องเร่งสร้างสิ่งที่เรียกว่า Global Financial Safety Net”
สำหรับงาน Annual Meetings ที่จะดำเนินต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม ทีมงานของ THE STANDARD จะอัปเดตข้อมูลที่สำคัญและบรรยากาศงานเป็นประจำทุกวันผ่านหลากหลายช่องทาง ทั้งรายการ Morning Wealth, เว็บไซต์ THE STANDARD WEALTH รวมทั้งโซเชียลมีเดียอื่นๆ ของ THE STANDARD