เกิดอะไรขึ้น:
วานนี้ (20 กันยายน 2564) บมจ.ไทยยูเนี่ยนฟู้ด กรุ๊ป (TU) ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเกี่ยวกับแผนการได้มาซึ่งหุ้น 10% ในบมจ.อาร์ แอนด์ บี ฟู้ด ซัพพลาย (RBF) โดยมีวัตถุประสงค์การลงทุนครั้งนี้คือสร้างโอกาสและความเติบโตให้กับบริษัทในส่วนธุรกิจส่วนผสมในอาหาร โดยเฉพาะตลาดผู้บริโภคในอาเซียนที่ต้องการสินค้าที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และยังช่วยเสริมธุรกิจทั้งในส่วนสินค้าหลักของบริษัทและผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ รวมถึงสินค้าโปรตีนทางเลือกและอาหารสัตว์เลี้ยง
กระทบอย่างไร:
วันนี้ราคาหุ้น TU ปรับตัวลง 0.46%DoD สู่ระดับ 21.70 บาท และราคาหุ้น RBF ปรับตัวลง 1.01%DoD สู่ระดับ 19.70 บาท โดยถูกกดดันจาก Sentiment ลบของตลาดหุ้นไทย (SET Index) ที่ปรับตัวลดลงถึง 22.59 จุด หรือลดลง 1.39%DoD สู่ระดับ 1,603.06 จุด
มุมมองต่อการเคลื่อนไหวครั้งนี้:
SCBS คาดว่าดีลนี้จะมีส่วนแบ่งกำไรอย่างไม่มีนัยสำคัญต่อ TU ในระยะสั้น เนื่องจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากการจัดหาเงินทุนมาใช้สนับสนุนดีลนี้ (ต้นทุนทางการเงิน 3% ต่อปี จากเงินกู้ระยะสั้น 3 พันล้านบาท) มีแนวโน้มที่จะสูงกว่า Synergy และเงินปันผลรับจาก RBF (จ่ายปีละครั้ง) เล็กน้อย ในขณะเดียวกัน SCBS คาดการณ์ถึงส่วนแบ่งกำไรที่เป็นบวกในระยะกลางถึงระยะยาว จากความร่วมมือและการออกผลิตภัณฑ์เพิ่มมากขึ้น
หลังจากทำธุรกรรมนี้ TU คาดว่าจะเห็นการผนึกพลังทางธุรกิจจากทั้งสองฝ่าย โดย TU จะได้รับประโยชน์ดังนี้
- การใช้ส่วนประกอบอาหารของ RBF มาช่วยสนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของ TU (TU ใช้ส่วนประกอบอาหารของ RBF ในผลิตภัณฑ์แช่แข็งของบริษัทก่อนหน้านี้ และบริษัทวางแผนนำมาใช้ในสินค้าโปรตีนทางเลือก Pet Care และผลิตภัณฑ์ของ Red Lobster ในอนาคต)
- การร่วมกันพัฒนา R&D เพื่อสนับสนุนความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่วางจำหน่าย
- การแบ่งปันความรู้และความเชี่ยวชาญของ RBF เช่น ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับกัญชง ในขณะที่ RBF จะได้รับประโยชน์จากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจาก TU และการขยายธุรกิจทั่วโลกควบคู่กับตลาดของ TU
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP