เกิดอะไรขึ้น:
ใน 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนจำนวน 28 ล้านคน (70% ของระดับก่อนเกิดโควิด) โดยความต้องการเดินทางเร่งตัวขึ้นในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม บ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวหลังเหตุการณ์กราดยิงในเดือนตุลาคม เมื่อแยกตามตลาด การฟื้นตัวในตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่รวมประเทศจีน ได้แก่ มาเลเซีย เกาหลีใต้ อินเดีย และรัสเซีย ค่อนข้างแข็งแกร่งที่ 24.5 ล้านคนในปี 2566 (85% ของระดับก่อนเกิดโควิด) ในขณะที่ตลาดจีนอยู่ที่ 3.5 ล้านคน (32% ของระดับก่อนเกิดโควิด)
สำหรับปี 2567 คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่ 35 ล้านคน (87% ของระดับก่อนเกิดโควิด) ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวในตลาดจีน (ที่ 8 ล้านคน, 70% ของระดับก่อนเกิดโควิด) ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่รวมประเทศจีนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่จะเติบโตตามภาวะปกติ (ที่ 27 ล้านคน หรือ 94% ของระดับก่อนเกิดโควิด)
ด้านมาตรการเพื่อกระตุ้นตลาดจีน รัฐบาลไทยยังคงให้ความสำคัญกับการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะตลาดจีน ปัจจุบันประเทศไทยมีการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนตั้งแต่เดือนกันยายน 2566 – กุมภาพันธ์ 2567 และจะขยายมาตรการนี้ออกไป หลังจากรัฐบาลประกาศว่าไทยและจีนจะยกเว้นวีซ่าให้แก่พลเมืองของกันและกันอย่างถาวร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป
โดยพบกระแสตอบรับที่ดีจากมาตรการยกเว้นวีซ่าในปัจจุบัน จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนเพิ่มขึ้นจาก 34% ของระดับก่อนเกิดโควิด ในเดือนสิงหาคม สู่ 50% ในเดือนธันวาคม สิ่งที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิดคือเศรษฐกิจจีน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความต้องการเดินทางไปต่างประเทศ
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (SETTOURISM) ปรับขึ้น 7.65%, ราคาหุ้น ERW ปรับขึ้น 2.94% ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 3.21%
กลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุน:
ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้นผู้ประกอบการโรงแรมปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 8% ดีกว่า SET ที่เพิ่มขึ้น 1% และเชื่อว่าปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล โดยเฉพาะตลาดจีน และผลประกอบการ 4Q66 ที่แข็งแกร่ง จะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นกลุ่มโรงแรมปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับพรีวิวผลประกอบการ 4Q66 บ่งชี้ว่าผู้ประกอบการโรงแรมจะรายงานผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น YoY และ QoQ ยกเว้น AWC ซึ่งจะรายงานผลประกอบการปกติลดลง YoY และผลประกอบการจะมี Downside อยู่บ้างจากดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น
โดยหุ้นเด่นของกลุ่มคือ ERW เนื่องจากธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวไทยเป็นหลัก และ Valuation ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยเทรดที่ EV/EBITDA ปี 2567 ระดับ 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2548-2562) ที่ 13 เท่า ขณะที่มีมุมมองระมัดระวังในระยะสั้นต่อ AWC หลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความต้องการเดินทาง การขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมไม่สามารถตอบสนองความต้องการเดินทางได้อย่างทันท่วงที และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร
ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำเสีย และขยะ ที่มีประสิทธิภาพ (E)