เกิดอะไรขึ้น:
ใน 2Q66 หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวรายงานกำไรปรับตัวดีขึ้น YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวไทยตลอดระยะเวลา 1 ปีหลังจากเปิดประเทศ (กรกฎาคม 2565) ซึ่งมองว่าแรงขับเคลื่อนกำไรที่สำคัญคือ ปัจจัยด้านราคา (ARR และค่าโดยสารเฉลี่ย) ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องและสูงกว่าระดับก่อนเกิดโควิดแล้ว ในขณะที่ปัจจัยด้านปริมาณ (อัตราการเข้าพักโรงแรมและจำนวนผู้โดยสาร) มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ข้อมูลล่าสุดที่ได้จากผู้ประกอบการบ่งชี้ถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นใน 3Q66 โดยเชื่อว่าปัจจัยด้านราคาจะแข็งแกร่งต่อเนื่อง ในขณะที่ปัจจัยด้านปริมาณจะเพิ่มขึ้นโดยได้แรงหนุนจากช่วงไฮซีซันของภาคการท่องเที่ยวไทยใน 2H66
การยกเว้นวีซ่าจะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทย รัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน มุ่งเน้นส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามรายงานข่าว มาตรการกระตุ้นที่มีแนวโน้มออกมาคือการยกเว้นวีซ่านักท่องเที่ยวสำหรับประเทศที่มีศักยภาพสูง เช่น จีนและอินเดีย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ในช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวไทยใน 4Q66
InnovestX Research มองว่า การยกเว้นวีซ่าจะช่วยผลักดันภาคการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากจะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกมากขึ้นจากการไม่ต้องขอวีซ่า และคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทยได้มากกว่ามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) ที่เคยใช้ในระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 – 30 เมษายน 2563 จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนเพิ่มขึ้น 4%YoY และนักท่องเที่ยวจากอินเดียเพิ่มขึ้น 16%YoY ในช่วงที่ใช้มาตรการนี้เมื่อเดือนธันวาคม 2561 – ธันวาคม 2562 (ก่อนปิดพรมแดน สืบเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด)
ทั้งนี้ ได้ปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2566 เพิ่มขึ้นสู่ 28 ล้านคน (จาก 25 ล้านคน) แต่คงประมาณการสำหรับปี 2567 ไว้ที่ 35 ล้านคน และปี 2568 ไว้ที่ 40 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 70% ของระดับก่อนเกิดโควิดสำหรับปี 2566, 87% สำหรับปี 2567 และ 100% สำหรับปี 2568 ตลาดจีนกำลังฟื้นตัวหลังจากเปิดประเทศในเดือนมกราคม แต่จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนใน 7M66 ยังน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
ดังนั้นจึงปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนในปี 2566 เป็น 4.3 ล้านคน (จากเดิม 5 ล้านคน) แต่จะถูกชดเชยโดยตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่รวมประเทศจีนที่แข็งแกร่ง ซึ่งได้ปรับประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเป็น 23.7 ล้านคน (จากเดิม 20 ล้านคน) และคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยต่อเดือนที่ประมาณ 2.2 ล้านคนในเดือนสิงหาคม-กันยายน และจะเร่งตัวขึ้นสู่ประมาณ 2.7 ล้านคนในเดือนตุลาคม-ธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยว
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (SETTOURISM) ปรับเพิ่มขึ้น 4.34%MoM, ERW ปรับเพิ่มขึ้น 21.77%MoM และ AOT ปรับเพิ่มขึ้น 1.77%MoM ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 1.19%MoM
กลยุทธ์ซื้อ-ขายสำหรับกลุ่มท่องเที่ยว:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 6% ดีกว่า SET ที่เพิ่มขึ้น 1% ซึ่งเชื่อว่าหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวจะปรับตัวขึ้นต่อโดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นใน 2H66 จากช่วงไฮซีซันของการท่องเที่ยวและมาตรการที่กำลังจะออกมากระตุ้นภาคการท่องเที่ยวไทยใน 4Q66
ERW (หุ้นเด่น, ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 6 บาทต่อหุ้น) เป็นผู้นำ เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา 22% โดยได้แรงหนุนจากการปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากนักวิเคราะห์ในตลาดหลังจากผลประกอบการ 2Q66 ออกมาดีกว่าคาด จึงแนะนำให้นักลงทุนถือ Position ไว้ และเชื่อว่าภาพรวมอุตสาหกรรมที่เป็นบวกจะเปิดโอกาสให้ Trading ระยะสั้น
ปัจจุบันหุ้น ERW เทรดที่ EV / EBITDA ปี 2567 ระดับ 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 13 เท่า การศึกษาชี้ให้เห็นว่า มีการ Re-Rate Valuation ของ ERW ขึ้นมาอยู่ที่ EV / EBITDA 16 เท่า (+1SD) ในช่วงที่ผลประกอบการแข็งแกร่งและภาพรวมการท่องเที่ยวไทยดี ซึ่งคิดเป็นราคาหุ้นที่ราว 7 บาทต่อหุ้น หรือ Upside 24% จากราคาตลาดปัจจุบัน
ในระยะสั้นเชื่อว่าตลาดจะสนใจ CENTEL (NEUTRAL, ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 50 บาทต่อหุ้น) และ AWC (NEUTRAL, ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 5.4 บาทต่อหุ้น) เนื่องจากมีรายได้จากการท่องเที่ยวไทยมากกว่า MINT (Outperform, ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 44 บาทต่อหุ้น) ซึ่งการดำเนินงานส่วนใหญ่อยู่ในยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงโลว์ซีซัน
อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองเชิงบวกในระยะยาวต่อ MINT เนื่องจากผลประกอบการมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และ Valuation น่าสนใจ
AOT (หุ้นเด่น, ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 84 บาทต่อหุ้น) ในกลุ่มขนส่งทางอากาศ
สำหรับการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาว ชอบ AOT มากกว่า AAV เนื่องจากคุณภาพกำไรสูงและราคาหุ้นยังไม่ปรับขึ้นมาก รวมทั้งเล็งเห็นโอกาส Trading หุ้น AAV ในระยะสั้น (ปรับเรตติ้งขึ้นสู่ NEUTRAL, ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 3 บาทต่อหุ้น) จากปัจจัยบวกเกี่ยวกับค่าโดยสารเฉลี่ยที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากต้นทุนน้ำมันเครื่องบินที่สูงขึ้น และแนวโน้มที่รัฐบาลจะออกมาตรการมากระตุ้นนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญของ AAV (22% ของรายได้ปี 2562 และ 10% ของรายได้ 1H66)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญและความกังวลที่ต้องจับตาคือ ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภค ความต้องการเดินทาง และการขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการโรงแรมไม่สามารถตอบสนองความต้องการเดินทางได้อย่างทันท่วงทีและต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร