เกิดอะไรขึ้น:
SCBS ได้จัดทำบทวิเคราะห์พรีวิวผลประกอบการ 1Q65 ของ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการวันที่ 10 พฤษภาคม 2565
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น SPALI ปรับลดลง 0.45%MoM อยู่ที่ระดับ 21.90 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 1.31%MoM อยู่ที่ระดับ 1,662.22 จุด
พรีวิวผลประกอบการ 1Q65:
SCBS คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 1.36 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 84.5%YoY แต่ลดลง 52.5%QoQ) รายได้จะอยู่ที่ 6 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 63.5%YoY แต่ลดลง 45%QoQ) แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบที่ 57% และคอนโดที่ 43%
โดยใน 1Q65 SPALI เริ่มโอนคอนโดใหม่ 3 โครงการตามกำหนด คือ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สุขุมวิท 107 (มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท ยอดขาย 10%), ศุภาลัย เวอเรนด้า สุขุมวิท 117 (มูลค่าโครงการ 2.8 พันล้านบาท ยอดขาย 50%) และ ศุภาลัย ลอฟท์ ประชาธิปก-วงเวียนใหญ่ (มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท ยอดขาย 85%)
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดอยู่ที่ 39.6% ใกล้เคียงกับ 4Q64 ที่ 39.9% แต่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 37.9% ใน 1Q64 ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ JV ในออสเตรเลียน่าจะอยู่ที่ 91 ล้านบาท (ลดลง 42%YoY และ 46%QoQ)
แนวโน้มธุรกิจในปี 2565:
SCBS ประเมินกำไร 1Q65 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2565 และจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่เหลือ โดยคาดว่ากำไร 2Q65 อาจจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากการโอนคอนโดใหม่ 2 โครงการตามกำหนด: ศุภาลัย ไลท์ ท่าพระ-วงเวียนใหญ่ (มูลค่าโครงการ 1.2 พันล้านบาท ยอดขาย 34%) และ ศุภาลัย ปาร์ค สถานีแยกไฟฉาย และการโอน Backlog มูลค่า 600 ล้านบาท จากการขายสินค้าคงเหลือใน 1Q64 ที่โครงการ ศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 และด้วยอัตรากำไรขั้นต้นกว่า 50%
สำหรับปี 2565 SPALI มี Backlog มูลค่า 2.81 หมื่นล้านบาท โดย 57% จะรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ (51% จากคอนโด และ 49% จากโครงการแนวราบ), 30% ในปี 2566 และ 13% ในปี 2567 อย่างไรก็ดี SCBS ยังคงประมาณการรายได้ปี 2565 ไว้ที่ 2.97 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 2%YoY) เนื่องจาก Backlog รองรับรายได้ที่คาดการณ์ไว้แล้ว 76% และคาดว่ากำไรสุทธิปี 2565 จะอยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท (ลดลง 3.3%YoY) ลดลงจากฐานสูงของปี 2564
อย่างไรก็ตาม อาจจะเห็นอัปไซด์เพิ่มขึ้น ถ้า SPALI สามารถทำยอดขายได้สำเร็จตามเป้า หรือทำยอดขายโครงการแนวราบได้สูงกว่าเป้าใน 1H65 ซึ่ง SCBS จะทบทวนประมาณการอีกครั้ง ณ สิ้น 2Q65
ส่วนด้านราคาหุ้น อาจเผชิญแรงกดดันจากการขายหุ้นซื้อคืนส่วนที่เหลืออีก 192.89 หุ้น (จากทั้งหมด 194.9 ล้านหุ้น) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ จนถึงวันที่ 9 กรกฎาคม 2566
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP