เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 บมจ.แสนสิริ (SIRI) รายงานกำไรสุทธิ 1Q66 ที่ 1.58 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 422%YoY แต่ลดลง 11.7%QoQ) รายได้เป็นไปตามคาดที่ 7.6 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 55%YoY แต่ลดลง 40%QoQ) โดย 89% เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และ 9% เป็นรายได้ค่าบริการและบริหาร
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 32.3% โดยอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 36% และอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจบริการและบริหารต่ำกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายอยู่ที่ 18% ต่ำกว่าที่คาด กำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ (โรงเรียนสาธิตพัฒนา) ก่อนภาษีอยู่ที่ 623 ล้านบาท
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น SIRI ปรับลดลง 7.94%WoW อยู่ที่ 1.74 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 2.98%WoW อยู่ที่ระดับ 1,514.89 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
แม้ SIRI จะเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 75%YoY และ 87%QoQ ใน 1Q66 แต่บริษัททำยอดขายได้แล้ว 17% ของเป้ายอดขายที่วางไว้ในปี 2566 ที่ 4.7 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 22%YoY) ซึ่งคาดว่ายอดขายจะค่อยๆ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 2Q66 เป็นต้นไป โดยได้รับการสนับสนุนจากการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 21% ใน 2Q66, 41% ใน 3Q66 และ 34% ใน 4Q66 ซึ่งจะส่งผลทำให้มูลค่าโครงการใหม่ทั้งหมดทำจุดสูงสุดใหม่ที่ 7.5 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 46%YoY)
โครงการที่เป็นไฮไลต์ใน 2Q66 คือ นาราสิริ พหล-วัชรพล (มูลค่าโครงการ 5.6 พันล้านบาท, 125 ยูนิต) เศรษฐสิริ ดอนเมือง (มูลค่าโครงการ 4.3 พันล้านบาท, 263 ยูนิต) และโครงการแนวราบระดับกลางอีก 5 โครงการ ในขณะที่คอนโดใหม่จะอยู่ในกลุ่มราคาเข้าถึงง่าย ภายใต้แบรนด์ Dcondo และ Condo Me
ทั้งนี้ ณ วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 Backlog อยู่ที่ 2.04 หมื่นล้านบาท โดย 83% เป็นของ SIRI เอง และ 17% เป็นของ JV โดย 65% จะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 และที่เหลือจะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2567-2569
InnovestX Research คงประมาณการรายได้ปี 2566 ไว้ที่ 3.98 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15.7%YoY) โดย Backlog รองรับรายได้ที่คาดการณ์ไว้แล้ว 47% และคาดว่าบริษัทจะรับรู้รายได้จาก Backlog โครงการแนวราบส่วนใหญ่ใน 2H66
ทั้งนี้ เพื่อสะท้อนกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ใน 1Q66 ที่ดีกว่าคาดเล็กน้อย จึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 เพิ่มขึ้น 1% สู่ 4.94 พันล้านบาท (เติบโต 15.4%) ในขณะที่ประเมินกำไรปกติได้ที่ 4.31 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.4%) ยอดโอนและกำไรปกติใน 2Q66 น่าจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ
อย่างไรก็ดี ด้วยฐานะทางการเงินที่อ่อนแอกว่าคู่แข่ง และ Upside ที่มีจำกัดเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย จึงคงคำแนะนำ Tactical Call สำหรับ SIRI ไว้ที่ Neutral ด้วยราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 1.93 บาทต่อหุ้น อ้างอิง PE 7.1 เท่า (+0.25SD)
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ
- อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในปัจจุบันของ SIRI อยู่ในระดับสูงที่ 1.99 เท่า ดังนั้นกระแสเงินสดและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งที่ต้องจับตา
- เนื่องจาก SIRI มี Backlog โครงการแนวราบระดับลักชัวรีที่ส่วนใหญ่มีกำหนดโอนใน 2H66 ดังนั้นจึงต้องจับตาดูยอดโอนและช่วงเวลาในการโอน
- การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ต้นทุนขายโดยรวมเพิ่มขึ้น และกดดันให้ปรับราคาขายเพิ่มขึ้น