เกิดอะไรขึ้น:
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กก.) รายงานจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรายสัปดาห์ระหว่างวันที่ 29 มกราคม – 4 กุมภาพันธ์ ที่ 770,008 คน (เพิ่มขึ้น 6%WoW) โดยมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามามากที่สุดที่ 172,876 คน (เพิ่มขึ้น 25%WoW, เร่งขึ้นจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่เพิ่มขึ้น 15%WoW) โมเมนตัมที่แข็งแกร่งคาดว่าจะดำเนินต่อไป เนื่องจากในระหว่างวันที่ 7-14 กุมภาพันธ์ กก. ตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาถึง ~900,000 คน โดยคาดว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวจากจีน ~190,000 คน ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก กก. บ่งชี้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 56% ของระดับก่อนเกิดโควิด เร่งขึ้นจาก 48% ในเดือนมกราคม
InnovestX Research มองว่าภาพรวมความต้องการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากจีนเป็นบวก ซึ่งสนับสนุนโดยวันหยุดทางการเทศกาลตรุษจีนที่มีระยะเวลานานขึ้นเป็น 8 วันในปี 2567 (10-17 กุมภาพันธ์) เทียบกับระยะเวลาปกติที่ 7 วัน ความต้องการเดินทางต่างประเทศที่ยังคงค้าง เพราะจีนเพิ่งเริ่มเปิดประเทศในเดือนมกราคม 2566 และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวด้วยการยกเว้นวีซ่าของประเทศไทย
ทั้งนี้จากโพลสำรวจความคิดเห็นออนไลน์ที่จัดทำโดย Global Times พบว่าจุดหมายปลายทางในต่างประเทศ 3 อันดับแรกที่ชาวจีนต้องการเดินทางไปท่องเที่ยวมากที่สุดคือ มัลดีฟส์ สิงคโปร์ และไทย จากการตรวจสอบกับ AAV พบว่าปัจจุบันปริมาณที่นั่งผู้โดยสารในเส้นทางการบินจีน-ไทย (Capacity) เพิ่มขึ้น ~6% จาก 4Q66 และยอดจองตั๋วล่วงหน้าค่อนข้างแข็งแกร่งที่ >85% ในเดือนกุมภาพันธ์ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศจีน (CAAC) คาดว่าการเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศของจีนจะฟื้นสู่ 80% ของระดับก่อนเกิดโควิดภายในสิ้นปี 2567 จากระดับ 60% ในปี 2566
ทั้งนี้จากข้อมูลอย่างเป็นทางการพบว่า ในเดือนมกราคมประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 42%YoY และคิดเป็น 82% ของระดับก่อนเกิดโควิดเมื่ออิงกับโมเมนตัมนี้ จึงคงประมาณการจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2567 ไว้ที่ 35 ล้านคน เพิ่มขึ้น 24%YoY และคิดเป็น 87% ของระดับก่อนเกิดโควิด ซึ่งส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวในตลาดจีน (ที่ 8 ล้านคน, 70% ของระดับก่อนเกิดโควิด) ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจากตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่รวมประเทศจีนจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่จะเติบโตในระดับที่เป็นปกติมากขึ้นที่ 27 ล้านคน (94% ของระดับก่อนเกิดโควิด)
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว (SET TOURISM) ปรับขึ้น 0.85% ราคาหุ้น AOT ปรับขึ้น 1.57% และราคาหุ้น ERW ปรับลง 5.90% ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.96%
กลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุน:
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน จะส่งผลดีโดยตรงต่อ AOT (สนามบิน) และ AAV (สายการบิน) เนื่องจากการดำเนินงานของสองบริษัทนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านปริมาณเป็นหลัก
InnovestX Research ชอบ AOT (หุ้นเด่น: เรตติ้ง Outperform ราคาเป้าหมาย 84 บาทต่อหุ้น) มากกว่า AAV (Neutral) เนื่องจากคุณภาพกำไรสูง และ Risk/Reward น่าสนใจ: แม้ว่าจะรีบาวด์กลับขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ราคาหุ้น AOT ยังต่ำกว่าระดับสูงสุดในเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมาอยู่ 7% และเทรดที่ PE-to-Earnings Growth (PEG) ระดับ 0.2 เท่า ต่ำกว่า PEG เฉลี่ยของหุ้นกลุ่มเดียวกันในตลาดภูมิภาคที่ 0.3 เท่า สำหรับผู้ประกอบการโรงแรม ชอบ ERW (หุ้นเด่น: เรตติ้ง Outperform ราคาเป้าหมาย 6.0 บาทต่อหุ้น) เนื่องจากธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวไทยเป็นหลักและ Valuation ยังอยู่ในระดับที่ไม่แพง โดยเทรดที่ EV/EBITDA ปี 2567 ระดับ 11 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2548-2562) ที่ 13 เท่า
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและความต้องการเดินทาง การขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG คือการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก พลังงาน น้ำเสีย และขยะ ที่มีประสิทธิภาพ (E)
