เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.เอ็นฟอร์ซ ซีเคียว (SECURE) เปิดเผยว่า สำนักงานสอบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ประกาศว่าการโจรกรรมผ่านระบบออนไลน์ที่ผ่านมาเติบโตสูงกว่า 4 เท่า ขณะที่สถานการณ์ปัจจุบันในประเทศไทยมีหลายองค์กรทำงานที่บ้าน (Work from Home) ส่งผลให้ระบบป้องการกันการทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และเกิดการโจรกรรมมากขึ้น กระตุ้นให้ความต้องการระบบป้องกันหรือผลิตภัณฑ์การรักษาความปลอดภัยทางเทคโนโลยีไซเบอร์ (Cybersecurity) เพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถาบันการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งในปัจจุบัน SECURE อยู่ระหว่างเจรจากับองค์กรรัฐเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Cybersecurity ขณะที่ภาคเอกชนคาดเริ่มเห็นการลงทุนในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ SECURE อยู่ระหว่างเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวกับ Cybersecurity เพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ตเนอร์และคาดว่าจะเห็นความชัดเจนใน 4Q64 โดยบริษัทมีเงินสดจากการ IPO เพื่อใช้ในการลงทุนในโครงการดังกล่าวรวมถึงโครงการอื่นๆ ในอนาคต
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น SECURE ปรับตัวขึ้น 21.4%MoM สู่ระดับ 29.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับตัวขึ้น 5.3%MoM สู่ระดับ 1,625.65 จุด (ข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2564)
มุมมองระยะสั้น:
ในช่วง 3Q64 SCBS มองว่า SECURE จะได้รับผลกระทบในช่วงล็อกดาวน์ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปเสนองานลูกค้า การเข้าไปทำงานที่ไซต์งาน และ Vendor ส่งสินค้ามาไม่ได้ ทำให้กำไร 3Q64 อาจจะเห็นการหดตัว QoQ แต่จะเห็นการฟื้นตัวโดดเด่นใน 4Q64 โดยแนวโน้มผลประกอบการทั้งปี 2564 SCBS คาดว่า SECURE จะมีรายได้ที่ 800 ล้านบาท เติบโต 26%YoY และมีกำไรที่ 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 232.7%YoY
ทั้งนี้ ต้องติดตามอุปสงค์ของ Cybersecurity ภายในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นหลังจากการโจมตีทางไซเบอร์มีจำนวนมากขึ้น และยังได้อานิสงส์จากการบังคับใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) นอกจากนี้ SECURE ยังมีความเสี่ยงจากปัญหา Chip Shortage ซึ่งกระทบต่ออุปกรณ์ด้าน Cybersecurity ในส่วนของ Network Security ซึ่งส่งผลต่อโอกาสในการขายของบริษัท
มุมมองระยะยาว:
สำหรับในปี 2565 ผู้บริหารของ SECURE ตั้งเป้าการเติบโตรายได้ที่ 15% อยู่ที่ 918 ล้านบาท และคาดอัตรากำไรสุทธิมีแนวโน้มดีขึ้นจากการที่บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางด้าน Cybersecurity ที่ทาง SECURE พัฒนาขึ้นมาเองปลายปีนี้ โดยเน้นทางด้าน PDPA โดยเฉพาะ ทำให้ SCBS คาดการณ์อัตรากำไรสุทธิจะขยายตัวอยู่ที่ 11% จาก 10% ในปี 2564 ซึ่งคิดเป็นกำไรปี 2565 ที่ 103 ล้านบาท (+31.4%YoY)