×

SCB EIC ชี้ตลาดค้าปลีกปี 69 โตชะลอ 3.7% ถูกฉุดด้วยหนี้ครัวเรือน-กำลังซื้อเปราะบาง ผู้บริโภคแห่ซื้อสินค้าจำเป็น หนีสินค้าฟุ่มเฟือย

21.11.2025
  • LOADING...
SCB EIC ชี้ตลาดค้าปลีกปี 69 โตชะลอ 3.7% ถูกฉุดด้วยหนี้ครัวเรือน-กำลังซื้อเปราะบาง ผู้บริโภคแห่ซื้อสินค้าจำเป็น หนีสินค้าฟุ่มเฟือย *Rationale: According to the specific rule provided (add a space before proper nouns that follow a verb), there are no instances in this headline that require a space. SCB EIC is a proper noun, but it acts as the subject of the sentence and does not follow a verb. All other nouns (ตลาดค้าปลีก, หนี้ครัวเรือน, กำลังซื้อ, สินค้าจำเป็น, สินค้าฟุ่มเฟือย) are common nouns, not proper nouns.*

ธุรกิจค้าปลีกมีแนวโน้มเติบโตที่ราว 3.7% ในปี 2569 ซึ่งเป็นการเติบโตที่ชะลอลงจากช่วงปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัวที่ราว 3.9% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคของภาครัฐ สำหรับในปี 2569 การเติบโตที่คาดว่าจะชะลอตัว เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้ครัวเรือนและกำลังซื้อที่ยังเปราะบาง ทำให้การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัวลง รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวช้า

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Euromonitor

 

ตลาดค้าปลีกไทยคาดว่าจะโตที่ประมาณ 3.7% ในปี 2569 จากในปี 2568 ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.9% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน จากปัจจัยกดดันทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ที่ส่งผลต่อกำลังซื้อและทำให้ผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น โดยให้ความสำคัญกับสินค้าจำเป็นและอาจชะลอการซื้อสินค้าฟุ่มเฟือยออกไป ขณะที่นักท่องเที่ยวมีแนวโน้มชะลอตัวทั้งในแง่ของจำนวนและการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดค้าปลีกคือ Non-store segment ที่ยังขยายตัว

 

ในปี 2569 กลุ่มที่คาดว่ายังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ยังคงเป็นหมวดร้านค้าสินค้าจำเป็นอย่างกลุ่ม Modern grocery เช่น CVS, Supermarket, Hypermarket และกลุ่ม Health & Beauty ตามเทรนด์การรักษาสุขภาพและความสวยความงาม ทั้งนี้กลุ่มที่ยังต้องจับตามอง ได้แก่ Department store และกลุ่มสินค้า Fashion ซึ่งเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ผู้บริโภคอาจจะชะลอการใช้จ่ายในกลุ่มนี้ไปก่อน อีกทั้ง กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยยังเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่เป็นไปตามคาด ขณะที่กลุ่ม Home and garden ยังมีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ซบเซาต่อเนื่อง

 

ขณะที่ตลาด E-commerce ยังคงเติบโตได้ดี แม้การเติบโตจะไม่ร้อนแรงเท่ากับช่วงโรคระบาด โดยมีปัจจัยหนุนจากพฤติกรรมที่ผู้บริโภคเน้นความสะดวกสบาย ในขณะที่ร้านค้าต่างๆ ก็มีทางเลือกให้ลูกค้าสำหรับการซื้อทั้งที่หน้าร้านและช่องทางออนไลน์ รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อยที่เน้นการขายออนไลน์มากกว่าหน้าร้าน โดยคาดว่าสัดส่วนยอดขายจาก E-commerce ของตลาดค้าปลีกจะอยู่ที่ราว 30% ในปี 2569

 

เทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อมยังคงมีบทบาทสำคัญในธุรกิจค้าปลีก รวมไปถึง AI ที่เข้ามามีบทบาทเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น โดย AI เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน, วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในการช็อปปิง โดยผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีการนำ AI มาใช้ก่อน จะสามารถสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจเพิ่มขึ้น และเทรนด์ด้านสิ่งแวดล้อมทำให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการตระหนักรู้มากขึ้น ซึ่งแนวคิดด้าน ESG ไม่เพียงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ร้านค้าแต่ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

 

อย่างไรก็ดี ผู้บริโภคไทยยังมี Willingness to pay ในสินค้าที่มีความยั่งยืนไม่มากนัก ผู้ประกอบการอาจต้องมี Incentive เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าที่มีความยั่งยืนมากขึ้น

 

ธุรกิจบริการอาหารในปี 2569 ยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่ราว 3.2% ท่ามกลางความท้าทายมากมาย ยอดขายที่เติบโตอาจมาจากปัจจัยราคา ธุรกิจขนาดเล็กเจอแรงกดดันจากการแข่งขันและต้นทุนที่สูง ขณะที่ร้านขนาดใหญ่เริ่มเข้ามาแข่งขันในการขายอาหารที่ราคาคุ้มค่ามากขึ้น

 

ที่มา: การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Euromonitor

 

สำหรับปี 2569 ธุรกิจบริการอาหารมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างทรงตัวจากปีนี้ โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ราว 3.2%YOY จากในปี 2568 ที่จะขยายตัวราว 3.3% โดยในช่วงปลายปี 2568 ธุรกิจบริการอาหารได้อานิสงส์จากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ เช่น คนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน ทำให้ธุรกิจร้านอาหารมีบรรยากาศที่ฟื้นตัวขึ้นบ้าง อย่างไรก็ดี ในปี 2569 การเติบโตอาจจะชะลอตัวจากปี 2568 เล็กน้อย เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและมีความเสี่ยงของการชะลอตัวอยู่ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายบางส่วนที่ไม่จำเป็นลง รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้า ส่งผลให้ผู้บริโภคบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางอาจลดการรับประทานอาหารนอกบ้านลง (Dine out) ทำให้ยอดขายกลุ่ม Full-service restaurant ได้รับผลกระทบ สะท้อนได้จาก SSSG ที่ติดลบอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่กลุ่ม Limited-service มีการขยายสาขาในอัตราที่ลดลง และกลุ่ม Cafe/Bars เริ่มจะประสบปัญหา Oversupply

 

ธุรกิจบริการอาหารแบบ Full-service คาดว่าจะเติบโต 3% ในปี 2569 จากที่เติบโตประมาณ 3.2% ในปี 2568 โดยร้านอาหารกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจค่อนข้างมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ แต่ยังได้รับแรงหนุนจากกลุ่มลูกค้าไทยและนักท่องเที่ยวที่มีกำลังบริโภคสูง ที่หาประสบการณ์จากการรับประทานอาหารในร้านใหม่ ๆ เช่น บรรยากาศ รสชาติ เรื่องราว

 

ธุรกิจร้านอาหาร Limited-service คาดว่าจะเติบโต 2.7% ในปี 2569 จากที่คาดว่าเติบโตราว 2.3% ในปี 2568 โดยมีปัจจัยหนุนจากไลฟ์สไตล์ที่ต้องการความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้ง ยังเป็นกลุ่มที่สามารถควบคุมมาตรฐานของคุณภาพและรสชาติได้ดี และในราคาที่เข้าถึงง่าย จะทำให้ร้านอาหารกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบไม่รุนแรงเท่ากลุ่มอื่น ๆ ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

 

ร้านอาหารแบบคาเฟ่/บาร์ คาดว่าจะเติบโต 3.7% ในปี 2569 จากที่คาดว่าเติบโตราว 3.9% ในปี 2568 โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค อาทิ ความต้องการสถานที่พบปะสังสรรค์ การทำงานนอกสถานที่ และการท่องเที่ยวในเมืองเพิ่มขึ้น รวมไปถึงความต้องการในการค้นหาประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยเฉพาะร้านคาเฟ่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

อ่านต่อบทวิเคราะห์ฉบับเต็ม:
https://www.scbeic.com/th/detail/product/WR-Restaurant-Industry-201125

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising