×

SCB EIC คาด กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 4

13.06.2024
  • LOADING...

กนง. มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% โดย 1 เสียงเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ทำให้การสื่อสารในการประชุม กนง. ครั้งนี้มีท่าทีที่ Hawkish กว่าการประชุมครั้งก่อนในเดือนเมษายน ซึ่งมีมติ 5 ต่อ 2 เสียง 

 

โดยกรรมการเสียงส่วนใหญ่เห็นว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเข้าสู่ระดับศักยภาพและเหมาะสมกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน 

 

ในขณะที่กรรมการเสียงส่วนน้อยเห็นว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยให้อัตราดอกเบี้ยสอดคล้องกับศักยภาพการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ลดลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างมากขึ้น และมีส่วนช่วยบรรเทาภาระของลูกหนี้ 

 

สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจไทย กนง. คงประมาณการจากการประชุมครั้งก่อนที่ 2.6% และ 3.0% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ ตามแรงส่งจากอุปสงค์ในประเทศ ภาคการท่องเที่ยว และภาครัฐบาลที่กลับมาเบิกจ่ายได้ โดย กนง. ประเมินว่าภาคการส่งออกและภาคการผลิตจะยังคงฟื้นตัวช้าจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง 

 

อย่างไรก็ดี กนง. มีมุมมองว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับด้านอัตราเงินเฟ้อ กนง. คงประมาณการเดิมเช่นกัน โดยประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.6% และ 1.3% ในปี 2024 และ 2025 ตามลำดับ ตามราคาพลังงานและอาหารสดที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2024 และอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะปานกลางยังอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย

 

Implications

 

SCB EIC คาด กนง. จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นจังหวะเวลาที่ภาวะการเงินตึงตัวจะเริ่มส่งผลกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงเปราะบาง ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเริ่มปรับสูงขึ้น 

 

สำหรับในระยะสั้น SCB EIC มองว่า พัฒนาการเศรษฐกิจไทยตั้งแต่ช่วงต้นปียังเป็นไปตามที่ กนง. ประเมินไว้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับมาสูงกว่ากรอบล่างของเป้าหมายในเดือนพฤษภาคมชั่วคราว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลของฐานราคาพลังงานที่รัฐอุดหนุนไว้ในปีก่อน อีกทั้งธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MRR เป็นพิเศษเป็นเวลา 6 เดือนสำหรับลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้ของกลุ่มครัวเรือนและธุรกิจเปราะบางได้บางส่วนแล้ว กนง. จึงจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอีกระยะหนึ่ง 

 

อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่กลับมาปรับเพิ่มขึ้นในเดือนพฤษภาคมไม่ได้สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตดี เนื่องจากเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดพลังงานและอาหารเป็นสำคัญ หลังรัฐบาลทยอยลดการอุดหนุนราคาขายปลีกน้ำมัน อย่างไรก็ดี หากพิจารณาอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด ยังทรงตัวต่ำที่ 0.39% 

 

รูปที่ 1: อัตราเงินเฟ้อทั่วไปกลับเข้าสู่กรอบในเดือนพฤษภาคม ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานทรงตัวต่ำ

 

นอกจากนี้ SCB EIC ประเมินว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเปราะบางอยู่มาก โดยเฉพาะภาคครัวเรือน จากข้อมูลการสำรวจเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (SES) ล่าสุดในปี 2023 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ครัวเรือนที่เป็นหนี้มีความเปราะบางมากขึ้น สาเหตุหลักจากปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย โดยกลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำประสบปัญหารายได้หดตัว (เทียบกับปี 2021) ขณะที่กลุ่มครัวเรือนรายได้ปานกลางเริ่มมีรายได้ไม่พอการจ่ายหนี้ 

 

รูปที่ 2: ครัวเรือนที่เป็นหนี้เปราะบางมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ต่ำจากรายได้ที่หดตัว ขณะที่กลุ่มรายได้ปานกลางเริ่มประสบปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายมากขึ้น 

 

มองไปข้างหน้า เศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวเปราะบางในปัจจุบันส่วนหนึ่งเป็นผลจากครัวเรือนไทยมีภาระหนี้สูงและคุณภาพสินเชื่อภาคครัวเรือนด้อยลง (รูปที่ 3) จึงทำให้สถาบันการเงิน โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ เข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อภาคครัวเรือน (รูปที่ 4) ส่งผลให้ภาวะการเงินโดยรวมจะยิ่งมีแนวโน้มตึงตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี ยิ่งเพิ่มความเปราะบางของเศรษฐกิจ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ภาคเศรษฐกิจบางส่วนยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง 

 

SCB EIC ประเมินว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยจะยังฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากยังมีแรงกดดันจากสินค้านำเข้าจากจีนและอุปสงค์ในประเทศต่อสินค้าคงทนที่ยังหดตัวต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะเป็นแรงกดดันเศรษฐกิจไทยที่ชัดเจนขึ้นในระยะข้างหน้า ทำให้ความจำเป็นในการปรับลดดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะช่วงที่ภาคการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากเป็นพิเศษ ซึ่งการลดดอกเบี้ยจะไม่มีผลกระตุ้นการก่อหนี้มากจนน่ากังวลเช่นในอดีต ดังนั้นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการลดหนี้ในระบบเศรษฐกิจ (Debt Deleveraging) 

 

นอกจากนี้สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจในช่วงปลายปีจะเป็นจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงตามทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะปรับสูงขึ้นมากกว่าที่ กนง. ประเมินในปัจจุบัน ทั้งจากปัจจัยภายนอกที่ไทยอาจได้รับผลกระทบจากการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกา การค้าโลกกระทบต่อการส่งออก และปัจจัยภายในจากอุปสงค์ในประเทศที่อาจอ่อนแอลง หากภาวะการเงินตึงตัวขึ้นส่งผลกระทบซ้ำเติมความเปราะบางภาคครัวเรือน

 

SCB EIC จึงประเมินว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งปลายปีนี้เหลือ 2.25% และปรับลดอีกครั้งเหลือ 2% ในช่วงต้นปีหน้า (2025) โดยมองว่าเป็นจังหวะเวลาที่ภาวะการเงินตึงตัวจะกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะที่ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจจะยิ่งเปราะบางขึ้น ประกอบกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2025 จะเริ่มปรับสูงขึ้น

 

รูปที่ 3: คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนปรับด้อยลงต่อเนื่อง

 

รูปที่ 4: มาตรฐานการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะภาคครัวเรือน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising