เกิดอะไรขึ้น:
บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) วางแผนใช้งบประมาณลงทุน 3.26 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะ 5 ปีข้างหน้า แบ่งเป็นรายจ่ายลงทุน 64% และรายจ่ายดำเนินงาน 36% ซึ่งสูงกว่าแผนเดิม 12% เนื่องจากมีโครงการใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น และต้นทุนการพัฒนาสูงขึ้น อันเป็นผลมาจากการขาดแคลนอุปทานในบริการ E&P Oilfield รวมถึงเรือสนับสนุนกิจการนอกชายฝั่ง
การลงทุนจะทำจุดสูงสุดในปี 2568 ที่ 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากบริษัททำการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการก๊าซในประเทศมาเลเซีย (SK410B) ในปี 2567 นอกจากนี้ยังมีโครงการอื่นๆ ที่มีกำหนดเริ่มดำเนินการในปี 2571 ได้แก่ โครงการ Mozambique LNG, โครงการ Abu Dhabi Offshore 2 และโครงการ Southwest Vietnam รวมถึงการลงทุนในธุรกิจใหม่
ทั้งนี้ PTTEP จัดสรรงบประมาณลงทุน 5 ปี จำนวน 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) สำหรับแหล่งอาทิตย์ (300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ หลักๆ คือธุรกิจ AI and Robotic (ARV) นอกจากนี้บริษัทยังได้สำรองงบประมาณเพิ่มเติมอีกจำนวน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาดอื่นๆ ซึ่งรวมถึงธุรกิจพลังงานหมุนเวียนนอกชายฝั่ง และธุรกิจดักจับและกักเก็บคาร์บอน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ด้านเป้าปริมาณขาย PTTEP คาดการณ์ว่าปริมาณขายจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย (CAGR) 5% ต่อปี ในระหว่างปี 2566-2571 สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 587KBOED ในปี 2571 แม้ว่าจะมีการปรับคาดการณ์ลดลงเล็กน้อยโดยเฉลี่ย 2% หลักๆ ในปี 2570 (ลดลง 3% จากแผนเดิม) เป้าหมายดังกล่าวสะท้อนถึงความล่าช้าเล็กน้อยของโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ Mozambique LNG และ SK410B (Lang Lebah) ของมาเลเซีย จากปี 2570 เป็นปี 2571
โดย 2 โครงการนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนให้ปริมาณขายเติบโตในปี 2571 และจะทำให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์ก๊าซเพิ่มขึ้นจาก 72-73% เป็น 75% ปริมาณขายในปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 9%YoY สู่ 505KBOED โดยได้แรงหนุนจากการผลิตที่สูงขึ้นที่โครงการ G1/61 สู่ 500-550mmcfd ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม และจะเพิ่มขึ้นถึงปริมาณที่กำหนดไว้ตามสัญญาที่ 800mmcfd ภายในเดือนเมษายน 2567 ผู้บริหารกล่าวว่าการขุดเจาะหลุมผลิตเป็นไปตามแผน
สำหรับแหล่งเงินทุนเชื่อว่าสถานะทางการเงินที่มั่นคงและกระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ PTTEP น่าจะสามารถรองรับงบประมาณลงทุนที่สูงขึ้นในระยะ 5 ปีข้างหน้าได้ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของ PTTEP ณ สิ้น 3Q66 อยู่ที่เพียง 0.3 เท่า ซึ่งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะยังคงอยู่ในระดับต่ำในระยะ 5 ปีข้างหน้า แม้ว่าจะมีแผนลงทุนล่าสุด เว้นแต่จะมีการลงทุนขนาดใหญ่อื่นๆ
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น PTTEP ปรับลง 11.42% สู่ระดับ 143.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 0.51% สู่ระดับ 1,378.94 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
ใน 4Q66 คาดว่ากำไรปกติจะลดลง QoQ และ YoY เพราะราคาน้ำมันลดลง ส่วนการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงพลิกกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 เนื่องจากการลดปริมาณการผลิตโดยซาอุดีอาระเบียและรัสเซียมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอุปสงค์ที่เปราะบางสืบเนื่องมาจากภาวะอัตราดอกเบี้ยสูงอาจฉุดรั้งโมเมนตัมขาขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันระยะสั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากอุปทานที่ตึงตัวขึ้นใน 4Q66 โดยมีสาเหตุมาจากอุปสงค์ตามฤดูกาลและการลดปริมาณการผลิตโดยกลุ่ม OPEC+
อย่างไรก็ดี InnovestX Research มองว่าราคาหุ้น PTTEP ที่ปรับตัวลดลง 11% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เทียบกับ SET ที่ -1% โดยมีสาเหตุมาจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง เปิดโอกาสให้กลับเข้าซื้อหุ้น PTTEP อีกครั้ง และได้ปรับเรตติ้งสำหรับ PTTEP ขึ้นสู่ ‘OUTPERFORM’ ด้วยราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ที่ 194 บาทต่อหุ้น อิงกับราคาน้ำมันดูไบระยะยาวที่ 68 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันเบรนท์ระยะยาวที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตั้งแต่ปี 2569 เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ สมมติฐานปริมาณขายซึ่งต่ำกว่าเป้าของ PTTEP อยู่ 3% เป็นส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) ต่อประมาณการกำไรและ Valuation ณ ราคาเป้าหมายดังกล่าว หุ้น PTTEP จะเทรดที่ PBV ปี 2567 ระดับ 1.4 เท่า หรือ +1SD ของ PBV เฉลี่ย 5 ปี สะท้อนถึงตลาดน้ำมันที่ดีขึ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ
- ราคาน้ำมันดิบผันผวน
- ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น
- การด้อยค่าของสินทรัพย์
- การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด