เกิดอะไรขึ้น:
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 บมจ.โอสถสภา (OSP) รายงานกำไรสุทธิ 1Q67 ที่ 828 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 6.5%YoY และ 82.8%QoQ) กำไรปกติเติบโต 73.2%YoY และ 39.9%QoQ รายได้อยู่ที่ 7.26 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10.9%YoY และ 11.2%QoQ) เป็นไปตามคาด
โดยได้แรงหนุนจาก: ยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 45.9% ใน 4Q66 สู่ 46.4% โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายที่แข็งแกร่งของ M-150 สปาร์คกลิ้ง และลิโพ กับยอดขายต่างประเทศที่เติบโตสูง โดยเฉพาะจากเมียนมา ส่งผลให้ยอดขายต่างประเทศเติบโต 23.1%YoY และ 79.9%QoQ
อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยอยู่ที่ 36.5% เป็นไปตามคาด โดยได้รับการสนับสนุนจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ลดลง ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นของโรงงานผลิตขวดแก้ว และการประหยัดต่อขนาด นอกจากนี้อัตราภาษีที่แท้จริงใน 1Q67 ก็อยู่ในระดับต่ำตามคาด เนื่องจากยอดขายในเมียนมาได้รับการยกเว้นภาษี
กระทบอย่างไร:
หลังรายงานผลประกอบการ ณ วันนี้ที่ 17 พฤษภาคม 2567 ราคาหุ้น OSP ปรับขึ้น 0.47% สู่ระดับ 21.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 0.65% สู่ระดับ 1,379.33 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
InnovestX Research มีมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวกต่อส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังของ OSP ในไตรมาส 2-4 หลังจากส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น 0.5% สู่ 46.4% ใน 1Q67 OSP ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดตอนสิ้นปี 2567 ไว้ที่ 47.9% ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากกลยุทธ์การตลาดและการขายสำหรับ M-150 และ M-150 สปาร์คกลิ้ง
ปี 2567 คงประมาณการรายได้ไว้ที่ 2.71 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4.3%) โดยได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตของยอดขายต่างประเทศ ขณะที่ปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 34.8% สู่ 36.3% โดยได้แรงหนุนจากประสิทธิภาพการผลิตที่สูงขึ้นและต้นทุนขายที่ลดลงจากต้นทุนหลักๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติ และอะลูมิเนียม ซึ่งหนุนให้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 เพิ่มขึ้น 6% สู่ 2.75 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.7%)
ส่วน 2Q67 คาดว่า OSP จะรายงานกำไรที่แข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายในประเทศที่เติบโตเพิ่มขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่ง
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนยังคงคำแนะนำ Outperform ปรับราคาเป้าหมายปี 2567 เพิ่มขึ้นสู่ 29 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของ OSP ในปี 2567 โดยได้รับการสนับสนุนจากประสิทธิภาพการบริหารต้นทุนที่ดีขึ้นและการฟื้นตัวของยอดขาย และปรับราคาเป้าหมายปี 2567 เพิ่มขึ้นสู่ 29 บาทต่อหุ้น (จาก 28 บาท) โดยอิงกับ -0.5SD PE ที่ 32 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ: ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบหลักๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้า, ความผันผวนของปริมาณการขายในตลาด CLMV และนโยบายการเงิน และการแข่งขันในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง
ประเด็น ESG: OSP ถูกจัดอยู่ในรายชื่อหุ้น SET ESG Ratings ที่ ระดับ AA สำหรับปี 2567-2568 OSP ตั้งเป้าลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างมีนัยสำคัญ บริษัทตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573 และบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593