เกิดอะไรขึ้น:
OSP คงเป้าส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2% ภายในสิ้นปี 2566 InnovestX Research มองว่า OSP น่าจะเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดได้ตามเป้าที่วางไว้ โดยได้รับการสนับสนุนจากความหลากหลายของสินค้าทั้งในกลุ่มพรีเมียมและกลุ่มทั่วไป และคาดว่าส่วนแบ่งการตลาดจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 2H66 สู่ +/-49% ภายในสิ้นปี 2566 ในขณะเดียวกันต้นทุนและประสิทธิภาพก็น่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 2H66 หลังจากเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ 1Q66 โดยได้รับการสนับสนุนจากประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นและต้นทุนวัตถุดิบหลักๆ ที่ลดลง
สำหรับ 2Q66 ประเมินกำไรสุทธิได้ที่ 529 ล้านบาท (ลดลง 12.3%YoY และ 32%QoQ) แต่หากหักเงินปันผลจาก Unicharm ใน 1Q66 ออกไป กำไรปกติจะเพิ่มขึ้น 12%QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจากรายได้ที่เติบโต 4.9%QoQ (ลดลง 4.4%YoY จากฐานสูง) ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังของ OSP อยู่ที่ 47.5% ใน 2Q66 เพิ่มขึ้นจาก 46.6% ใน 1Q66 เนื่องจากการแข่งขันในตลาดพรีเมียม (12 บาทต่อขวด) ลดน้อยลง
ดังนั้นยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ขณะที่ยอดขายต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ จากผลของการเก็บสต๊อกตามฤดูกาล ยอดขายเครื่องดื่มกลุ่ม Functional Drink กลุ่ม C-vitt คาดว่าจะลดลง YoY (แต่เพิ่มขึ้น QoQ) ซึ่งจะกดดันส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนให้ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นสู่ 34.3% จาก 33.4% ใน 1Q66 และ 31.2% ใน 2Q65 โดยได้รับการสนับสนุนจากต้นทุนวัตถุดิบ เช่น ก๊าซธรรมชาติ ที่ปรับตัวลดลง
ด้านต้นทุนสำหรับปี 2566 นอกเหนือจากแรงกดดันด้านต้นทุนอะลูมิเนียมและค่าไฟฟ้าที่ลดลง และราคาก๊าซธรรมชาติที่ผันผวนลดน้อยลงแล้ว OSP ยังวางแผนบริหารจัดการประสิทธิภาพการผลิตด้วยการลดต้นทุนที่ซ้ำซ้อนลง เช่น การปิดเตาหลอมซึ่งใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิง 1 เตา จาก 7 เตา ใน 1Q66 ซึ่งช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะช่วยสนับสนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น OSP ปรับลดลง 5.74%MoM อยู่ที่ระดับ 28.75 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 1.54%MoM อยู่ที่ระดับ 1,535.30 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
InnovestX Research คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ไว้ที่ 2.78 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 43.8%YoY) โดยอิงกับรายได้ที่ 2.85 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4%) อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นสู่ 34.1% เทียบกับจุดต่ำสุดในปี 2565 ที่ 30.6% แม้ 3Q66 จะเป็นช่วงโลว์ซีซัน แต่เชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะยังคงปรับตัวดีขึ้น และกำไรปกติจะยังคงแข็งแกร่ง QoQ และจะเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุดของปีนี้ใน 4Q66
กลยุทธ์การลงทุนยังคงเรตติ้ง Outperform ด้วยราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 32 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E เฉลี่ย 35 เท่า
ส่วนความเสี่ยงและความกังวลหลักๆ ที่ต้องติดตามคือ ต้นทุนวัตถุดิบหลักผันผวน กับความผันผวนของปริมาณขายในตลาด CLMV และนโยบายการเงิน