เกิดอะไรขึ้น:
ใน 2Q66 คาดผลการดำเนินงานอยู่ที่ 360 ล้านบาท ฟื้นตัวเล็กน้อย 3%QoQ โดยแม้ว่ายอดขายใน 2Q66 คาดว่าจะ Flat QoQ แต่ยังคาดว่าจะมี Upside ใน 2H66 เนื่องจากเริ่มเห็นสัญญาณการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ทั่วโลกในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2566 เช่น ทวีปยุโรป (47% ของยอดขาย PCB ของ KCE) ที่มียอดขายเติบโต 17.9%YoY, สหรัฐอเมริกา (21% ของยอดขาย PCB ของ KCE) ที่มียอดขายรถยนต์เติบโต 8.0%YoY และจีน (12% ของยอดขาย PCB ของ KCE) ที่เติบโตถึง 61.2%YoY
ขณะที่ต้นทุนราคาทองแดงเริ่มมีการปรับตัวลดลง 5.6%QoQ ใน 2Q66 QTD นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าประมาณ 2.4%QoQ ใน 2Q66 ก็คาดว่าจะส่งผลบวกต่อ Gross Margin โดยรวมใน 2Q66 โดยคาดว่า Gross Margin จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ใน 2Q66 จาก 19.6% ใน 1Q66
ทั้งนี้ คาดการณ์แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2H66 จะเติบโตจากการขยายกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์ Special Grade PCB (HDI, 30% ของยอดขายรวม) ที่มี Margin สูงมากขึ้น ซึ่ง HDI เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในพวก Break System ในรถยนต์ EV และผลิตภัณฑ์ Radar / Lidar เป็นต้น โดยปัจจุบันมีเครื่อง Laser Drill สำหรับใช้กับการผลิต HDI อยู่ 11 เครื่อง ซึ่งผลิตเต็มกำลังอยู่ และยังมี Demand ที่ค่อนข้างสูง
ปัจจุบันมีการเพิ่มเครื่อง Laser Drill เข้าไปอีก 2 เครื่องเรียบร้อยแล้ว ขณะที่เครื่อง Laser Drill อีก 2 เครื่องจะมาถึงในเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งโดยรวมจะสามารถเพิ่ม Capacity ของ HDI ได้อีก 300,000-400,000 ตารางฟุตต่อไตรมาสหากติดตั้งทั้งหมด 4 เครื่อง ซึ่งจะช่วยทำให้ Overall sale และ Gross Margin เพิ่มขึ้นได้ใน 2H66
โดยกลยุทธ์หลักยังคงเป็นขยายกำลังการผลิตในผลิตภัณฑ์ High-End ที่มี Margin สูง และสร้างโรงงานใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ คาดว่าจะมีการผลิตเชิงพาณิชย์ในช่วง 4Q67
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น KCE ปรับเพิ่มขึ้น 0.65%MoM สู่ระดับ 39.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลดลง 1.20%MoM อยู่ที่ระดับ 1,503.1 จุด
ความเห็นและกลยุทธ์การลงทุน:
InnovestX Research ยังคงมองบวกกับ KCE เนื่องจากแนวโน้มผลการดำเนินงานที่คาดว่าจะ Bottom Out แล้วใน 1H66 และคาดว่าจะเติบโตในช่วง 2H66 จาก Capacity ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนที่คาดว่าจะลดลง โดยเฉพาะราคาทองแดงในตลาดโลกและค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มลดลง (สัดส่วน 7% ของต้นทุนรวมใน 1Q66 จาก 6.7% ใน 4Q65) สะท้อนการปรับลดลงของราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในปัจจุบัน
ขณะที่ระยะกลางถึงยาวจะได้ประโยชน์จากจุดเด่นของ KCE ที่เป็นผู้ผลิตแผงวงจรรายใหญ่ Top 10 ของโลก ให้กับผู้ผลิตรถยนต์โดยเฉพาะในประเทศยุโรปและสหรัฐฯ ซึ่งจะได้รับผลบวกจากปริมาณความต้องการแผงวงจรในรถยนต์เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ราคาหุ้นของคู่แข่งในอุตสาหกรรมอย่าง CHIN POON Industrial, TTM Technologies, CMK Crop และ Meiko ต่างก็เห็นสัญญาณการฟื้นตัวแล้วเช่นกัน
ราคาหุ้น KCE ปรับฐานลงมา (59% จาก Peak ช่วงปลายปี 2564) ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันซื้อ-ขายที่ระดับ -1SD ของ P/E Mean 5 ปี ของ KCE แล้ว คาดว่าสะท้อนปัจจัยลบไปค่อนข้างมากแล้ว จึงแนะนำให้ทยอยสะสม เพื่อรอการฟื้นตัวของผลประกอบการตั้งแต่ 2H66 เป็นต้นไป โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 61 บาทต่อหุ้น อิง P/E 30x ซึ่งเท่ากับ P/E Mean 5 ปี ของ KCE
ส่วนความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ เศรษฐกิจโลกหากถดถอยรุนแรงมากกว่าคาดจะกระทบต่อปริมาณความต้องการแผงวงจร PCB โดยรวม ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และค่าเงินบาทจะกระทบอัตราทำกำไรได้