เกิดอะไรขึ้น:
ใน 1H65 บริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัย (AP, LH, LPN, PSH, QH, SIRI และ SPALI) รายงานยอดขาย 9.31 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13%YoY และ 27%HoH) โดยแบ่งเป็นยอดขายบ้านแนวราบ 77% และคอนโด 23% ยอดขาย 1H65 คิดเป็น 47% ของเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2565 ที่ 1.96 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 26%YoY) เติบโตสูงที่สุดและมูลค่าสูงที่สุดในรอบ 4 ปี
โดย LH, AP และ SPALI เป็นบริษัทที่ทำยอดขาย 1H65 ได้มากกว่า 50% ของเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2565 ซึ่ง SCBS เชื่อว่าการผ่อนคลายมาตรการ LTV (จะสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565) การปรับขึ้นราคาขายที่อยู่อาศัย และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 2566 จะช่วยผลักดันให้ยอดขาย 2H65 ถึงเป้าหมายที่วางไว้
ปี 2565 บริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยดังกล่าว วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวมทั้งหมด 2.32 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 128%YoY) สูงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยแบ่งเป็นบ้านแนวราบ 82% มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 122%YoY ทำสถิติสูงสุด และคอนโด 18% มูลค่าโครงการเพิ่มขึ้น 162%YoY สูงที่สุดในรอบ 3 ปี
ขณะที่ 1H65 โครงการเปิดใหม่มีมูลค่ารวม 6.54 หมื่นล้านบาท ดังนั้นใน 2H65 บริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัยจะต้องเปิดตัวโครงการใหม่ มูลค่า 1.67 แสนล้านบาท จึงจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2565 โดยบริษัทที่วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดคือ SIRI (เพิ่มขึ้น 665%YoY สู่ 5.0 หมื่นล้านบาท)
ในขณะที่ AP จะเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวมสูงที่สุดที่ 7.5 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 233%YoY) ซึ่งปรับลดลงจากเป้าหมายที่วางไว้เมื่อต้นปีที่ 7.8 หมื่นล้านบาท ส่วน PSH เป็นเพียงบริษัทเดียวที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 23%YoY สู่ 1.63 หมื่นล้านบาท ทำสถิติต่ำสุด
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (SETPROP) ปรับเพิ่มขึ้น 4.4%MoM โดย
ราคาหุ้น AP ปรับลดลง 5.3%MoM อยู่ที่ระดับ 9.85 บาท
ราคาหุ้น LH ปรับเพิ่มขึ้น 0.6%MoM สู่ระดับ 8.70 บาท
ราคาหุ้น LPN ไม่เปลี่ยนแปลง MoM อยู่ที่ระดับ 4.58 บาท
ราคาหุ้น PSH ปรับเพิ่มขึ้น 3.2%MoM สู่ระดับ 12.80 บาท
ราคาหุ้น QH ปรับเพิ่มขึ้น 0.9%MoM สู่ระดับ 2.18 บาท
ราคาหุ้น SIRI ปรับเพิ่มขึ้น 12.0%MoM สู่ระดับ 1.12 บาท
ราคาหุ้น SPALI ปรับลดลง 4.0%MoM อยู่ที่ระดับ 19.20 บาท
ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 1.9% สู่ระดับ 1,631.99 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2565:
SCBS คาดว่าบริษัทพัฒนาที่อยู่อาศัย (AP, LH, LPN, PSH, QH, SIRI และ SPALI) จะรายงานกำไรสุทธิปี 2565 จำนวน 2.84 หมื่นล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14.2%YoY) โดยกำไรสุทธิ 1H65 อยู่ที่ 1.42 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 50% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2565
และคาดว่ากำไร 3Q65 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ จากการรับรู้รายได้จาก Backlog ลดน้อยลง จากนั้นจะปรับตัวดีขึ้นใน 4Q65
SCBS คาดว่า AP จะรายงานกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งในปี 2565 ในขณะที่ LPN จะรายงานกำไรเติบโตสูงที่สุดหลังจากทำจุดต่ำสุดในปี 2564 และ SPALI จะเป็นบริษัทเพียงแห่งเดียวที่รายงานกำไรลดลงเล็กน้อยจากฐานสูงในปี 2564
และเลือก AP เป็นหุ้นเด่นของกลุ่ม เนื่องจากยอดขาย Backlog และกำไรจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2565 และต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566 ในขณะที่ LPN เป็นหุ้นเด่นอันดับสอง เนื่องจากกำไรจะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในปี 2564
สำหรับปัจจัยเสี่ยงและความกังวลที่ต้องติดตาม คืออุปสงค์ที่อยู่อาศัยโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน 4Q65 เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลทำให้อุปสงค์เพิ่มขึ้นมากเป็นพิเศษ เช่น การผ่อนคลายมาตรการ LTV ที่จะสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในปี 2566
รวมถึงต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามเช่นกัน เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น และหากราคายังคงปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องอันเป็นผลมาจากต้นทุนที่สูงขึ้น จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อบ้านของกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับกลาง-ล่าง เนื่องจากหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงในปัจจุบัน
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP