เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research จัดทำบทวิเคราะห์พรีวิวผลประกอบการ 1Q67 ของ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการวันที่ 14 พฤษภาคม 2567
โดยประเมินได้ว่ากำไรปกติ 1Q67 จะทำสถิติสูงสุดที่ 245 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%YoY และ 5%QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจาก RevPAR ที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะการดำเนินงานในประเทศไทยซึ่งการเติบโตของ RevPAR จะได้แรงหนุนจาก ARR ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก
ขณะที่คาดว่าอัตราการเข้าพักจะทรงตัวอยู่ที่ระดับสูง โดยได้รับการสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวไทยที่เติบโตมากขึ้น ทั้งนี้ ใน 1Q67 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 9.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 44%YoY และ 16%QoQ สู่ 87% ของระดับก่อนเกิดโควิด และเชื่อว่าปัจจัยบวกนี้จะสามารถชดเชยผลขาดทุนเริ่มแรกจากโรงแรมใหม่ในประเทศญี่ปุ่นได้
ในประเทศไทย: ARR เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง สำหรับกลุ่มโรงแรมระดับ 3-5 ดาว (80% ของรายได้) โดยประเมินได้ว่า RevPAR เติบโต 11%YoY และ 7%QoQ โดยได้รับการสนับสนุนจาก ARR ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 11%YoY และ 5%QoQ อันเป็นผลมาจากอัตราการเข้าพักระดับสูงที่ 84% ทรงตัว YoY และเพิ่มขึ้นจาก 83% ใน 4Q66 สำหรับกลุ่มโรงแรมบัดเจ็ต HOP INN (12% ของรายได้) ประเมินว่า RevPAR เติบโต 11%YoY และ 4%QoQ หลักๆ เกิดจาก ARR ที่เพิ่มขึ้น 10%YoY และ 5%QoQ
ในประเทศญี่ปุ่น: เริ่มต้นได้ดีสำหรับการดำเนินงานไตรมาสแรก สำหรับโรงแรม HOP INN ใหม่ 4 แห่งในประเทศญี่ปุ่น โดยประเมินอัตราการเข้าพักได้ที่ 50% และ ARR ที่ ~3,000 บาทต่อห้อง ใน 1Q67 ซึ่งจะทำให้มีผลขาดทุน ~20 ล้านบาท การดำเนินงานคาดว่าจะแข็งแกร่งขึ้นใน 2Q67 จากปัจจัยฤดูกาล โดยให้สมมติฐานสำหรับปี 2567 ด้วยอัตราการเข้าพักที่ 75% และ ARR ที่ 3,000 บาทต่อห้อง
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น ERW ปรับขึ้น 4.33% สู่ระดับ 4.82 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 1.71% สู่ระดับ 1,357.46 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2567:
พรีวิวกำไร 1Q67 ดังกล่าวจะคิดเป็น 30% ของประมาณการกำไรเต็มปี ซึ่งคาดว่ากำไรปกติปี 2567 ของ ERW จะเติบโต 10% สู่ 818 ล้านบาท Upside ของกำไรจะมาจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าคาดที่โรงแรมในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งประเมินว่าในปี 2567 โรงแรมที่ญี่ปุ่นจะมีผลขาดทุนที่ 40 ล้านบาท (5% ของประมาณการกำไรปี 2567) และได้รวมเข้าในประมาณการ
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
ERW เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นกลุ่มท่องเที่ยว โดยให้คำแนะนำ Tactical Call ระยะ 3 เดือนที่ Outperform ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 ที่ 6 บาทต่อหุ้น อิงกับ EV/EBITDA ที่ 13 เท่า (ค่าเฉลี่ยระยะยาวตั้งแต่ปี 2548) และจำนวนหุ้นทั้งหมดซึ่งรวมถึงหุ้นที่เกิดจากการแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิ ERW-W3 (8% ของจำนวนหุ้นชำระแล้วในปัจจุบัน) โดย ERW-W3 มีวันใช้สิทธิ (ใช้สิทธิครั้งเดียว) คือวันที่ 14 มิถุนายน 2567 อัตราการใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น และราคาใช้สิทธิ 3.0 บาทต่อหุ้น
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความต้องการเดินทาง ความไม่แน่นอนทางการเมือง และต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร ความเสี่ยง ESG คือการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมที่มีประสิทธิภาพ (E)