เกิดอะไรขึ้น:
GO Wholesale มุ่งเน้นจำหน่ายสินค้าอาหารแบบขายส่งในระบบสมาชิก โดยตั้งเป้าเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย คือ 1. กลุ่ม HoReCa, 2. กลุ่มผู้ค้าปลีกอาหาร, 3. กลุ่มผู้ให้บริการอาหาร และ 4. กลุ่มผู้ชื่นชอบการทำอาหาร GO Wholesale จำหน่ายสินค้าครบครันหลากหลาย โดยเน้นสินค้าอาหารสด อำนวยความสะดวกด้วยจุดเด่นที่สามารถสั่งซื้อสินค้าในรูปแบบที่กำหนดเองได้ (เช่น ตัดแต่งสินค้าตามความต้องการใช้งานของลูกค้า และจัดส่งภายใน 24 ชั่วโมงนับจากการสั่งซื้อออนไลน์) และคุณภาพที่เชื่อถือได้
ในปี 2566 CRC วางแผนเปิด GO Wholesale 4 สาขา (สาขาแรกย่านศรีนครินทร์ กรุงเทพฯ ในเดือนตุลาคม, สาขาที่ 2 ในเชียงใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน และอีกสองสาขาในพัทยาและนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ในเดือนธันวาคม) ในปี 2567 CRC วางแผนเปิด GO Wholesale 7 สาขา ในกรุงเทพฯ (พระราม 2 และรังสิต) และเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด CRC วางแผนใช้เงินลงทุน 2 หมื่นล้านบาท เปิด GO Wholesale 40-43 สาขาทั่วประเทศภายในปี 2571 โดยตั้งเป้าสร้างรายได้ 6-7 หมื่นล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า
การเยี่ยมชม GO Wholesale สาขาแรกของ CRC ซึ่งเปิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ในย่านศรีนครินทร์ โดยมีพื้นที่ขายสุทธิ 7,000 ตารางเมตร และมีสินค้าจำหน่ายกว่า 20,000 รายการ ยอดขายนับถึงปัจจุบันของ GO Wholesale สาขาแรกเป็นไปตามเป้าที่ CRC วางไว้ก่อนหน้านี้ ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคที่เน้นซื้อสินค้าอาหาร ทั้งนี้ จากยอดขายทั้งหมด 50% เกิดจากสินค้าอาหารสด 35%, เกิดจากสินค้าอาหารแห้ง 15% และเกิดจากสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร Synergy ร่วมกับ Central Group ที่มีการรับรู้แล้ว คือ 1. Loyalty Platform โดยสามารถเข้าถึงลูกค้า 28 ล้านคนภายใต้ The 1 Program, 2. การจัดหาสินค้าทั้งสินค้านำเข้าและสินค้าในประเทศกับ Tops Supermarket และ 3. Economies of Scale
สำหรับค่าธรรมเนียมช่องทางการชำระเงิน โดยอิงกับบริการชำระเงินด้วยช่องทางที่หลากหลายของ GO Wholesale เช่น เงินสด, ชำระผ่าน QR Code, บัตรเครดิต, Credit Term และ Alipay ในขณะเดียวกัน GO Wholesale จะได้รับการสนับสนุนจากพลังเครือข่ายของ Central Group ที่ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า 110 แห่งในประเทศไทยและเวียดนาม ร้านอาหารกว่า 6,750 ร้าน และโรงแรม 93 แห่ง ในอนาคตอันใกล้นี้
อย่างไรก็ดี ร้านค้ารูปแบบใหม่มีผลกระทบต่อกำไรค่อนข้างจำกัด CRC เชื่อว่า GO Wholesale ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก เนื่องจากตลาดค้าส่งสินค้าอุปโภคบริโภคแบบ B2B ของประเทศไทยมีมูลค่า 2.6 ล้านล้านบาท และจะเติบโตเฉลี่ย 5% ต่อปี ในระยะ 5 ปีข้างหน้า CRC ตั้งเป้า GO Wholesale แต่ละสาขาและภาพกลุ่มธุรกิจจะถึงจุดคุ้มทุนในการดำเนินงานที่เป็นเงินสดภายใน 2 ปี
ทั้งนี้ หลังจากเปิดตัว GO Wholesale CRC ยังคงเป้ายอดขาย มาร์จิ้น และงบลงทุนในปี 2566 ไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ขณะที่ในปี 2567 InnovestX Research ประเมินว่า ถ้ามีการขาดทุนจากร้าน GO Wholesale จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของกำไรของ CRC เป็นตัวเลขหลักเดียว โดยใช้สมมติฐานว่า การขาดทุนจาก GO Wholesale จะต่ำกว่าการขาดทุนจากการขยายสาขาร้านค้าส่งรูปแบบ Cash & Carry ของ CPAXT ไปยังต่างประเทศ (ประเมินได้ที่ 100-200 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี ในช่วง 2-3 ปีแรก) เพราะ GO Wholesale จะได้รับการสนับสนุนจากพลังเครือข่ายของ Central Group
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น CRC ปรับลง 3.90%WoW อยู่ที่ระดับ 37.00 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 2.27%WoW อยู่ที่ระดับ 1,419.76 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
การเยี่ยมชม GO Wholesale สาขาแรกของ CRC ในย่านศรีนครินทร์ หลังจากเปิดมา 1 สัปดาห์ ซึ่งทำยอดขายได้ตามเป้า และมีการรับรู้ Synergy กับ Central Group ในด้าน Loyalty Platform การจัดหาสินค้า และค่าธรรมเนียมช่องทางการชำระเงินแล้ว ขณะที่กำลังรอ Synergy จากร้านอาหารและโรงแรมในเครือ Central Group ในอนาคตอันใกล้นี้
เมื่ออิงกับแผนขยายสาขา (4 สาขาใน 4Q66 และ 7 สาขาในปี 2567 โดยตั้งเป้ามีสาขารวมทั้งหมด 40-43 สาขาภายในปี 2571) ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมจะอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้เนื่องจากตลาดมีขนาดใหญ่ ในขณะที่อุตสาหกรรมเติบโตอย่างต่อเนื่อง InnovestX Research ประเมินผลกระทบต่อการเติบโตของกำไรในปี 2567 ของ CRC (ถ้ามี) ได้เป็นตัวเลขหลักเดียว ซึ่งเกิดจากการขาดทุนจากร้านรูปแบบใหม่ดังกล่าว
ด้านผลประกอบการในระยะสั้น InnovestX Research คาดการณ์กำไรปกติ 3Q66 ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 9%YoY เพราะอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขาย และดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นจะหักล้างยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น และลดลง 23%QoQ จากปัจจัยฤดูกาล
ขณะที่ 4Q66 คาดว่า กำไรปกติจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และอย่างน้อยจะอยู่ในระดับทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น YoY จากยอดขายจากธุรกิจค้าปลีก และรายได้จากการให้บริการเช่าที่เติบโตเพิ่มขึ้นในประเทศไทยและประเทศเวียดนาม อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น และค่าไฟฟ้าที่ลดลง ทั้งนี้ ประเมินว่าต้นทุนค่าไฟฟ้าในประเทศไทยที่ลดลงในเดือนกันยายน-ธันวาคม 2566 (ลดลง 15%YoY และ 15% จากเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2566) จะหนุนให้กำไรเฉลี่ยต่อปีของ CRC ปรับเพิ่มขึ้นได้อีก 4%
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ยังคงเรตติ้ง Outperform สำหรับ CRC ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.1% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 48 บาทต่อหุ้น
ส่วนปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายของรัฐบาลใหม่