เกิดอะไรขึ้น:
InnovestX Research ประเมินแนวโน้มผลประกอบการ 1Q68 ของ บมจ.เบทาโกร (BTG) โดยคาดว่ากำไรจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร ในบรรดาผู้ประกอบการในกลุ่มอาหารภายใต้การวิเคราะห์ BTG จะเป็นผู้นำกลุ่มใน 1Q68 โดยประเมินกำไรปกติได้ที่ 1.65 พันล้านบาท ฟื้นตัวจากขาดทุนปกติ 126 ล้านบาท ใน 1Q67 และเพิ่มขึ้น 73%QoQ ปัจจัยสนับสนุนคือ:
- ยอดขายที่เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY โดยได้แรงหนุนจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิต ราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะราคาสุกรในประเทศที่ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 72 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้น 19%YoY, เพิ่มขึ้น 9%QoQ) จากอุปทานที่ตึงตัวขึ้น และรายได้เพิ่มเติมจากการเข้าซื้อกิจการไข่ไก่ในสิงคโปร์เสร็จสิ้นในเดือนมกราคม (หนุนให้อัตราการเติบโตของยอดขายรวมปรับขึ้นได้อีก 2% YoY)
- มาร์จิ้นที่กว้างขึ้นเป็น 17.5% (vs 10.8% ใน 1Q67 และ 14.9% ใน 4Q67) จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ที่แท้จริงที่ลดลง เนื่องจากโดยปกติแล้ว BTG จะเก็บสต็อกอาหารสัตว์ไว้ราว 3-4 เดือน: ต้นทุน Spot ข้าวโพดในประเทศ และกากถั่วเหลืองนำเข้าใน 4Q67 ลดลงมาอยู่ที่ 10 บาทต่อกิโลกรัม (ลดลง 4%YoY และลดลง 17%QoQ) และ 18.5 บาทต่อกิโลกรัม (ลดลง 16%YoY และ ลดลง 8%QoQ)
- การควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายไว้ที่ระดับต่ำกว่า 10% (เทียบกับ 10.3% ใน 1Q67)
สำหรับ 2Q68 คาดว่ากำไรปกติของ BTG จะอยู่ในระดับทรงตัว/เพิ่มขึ้น QoQ และเพิ่มขึ้น YoY โดยอิงกับราคาสุกรในประเทศที่สูงขึ้นท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ระดับต่ำใน 2Q68TD โดยใน 2Q68TD ราคาสุกรในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีที่ 85 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้น 23%YoY, เพิ่มขึ้น 8%QoQ) สูงกว่าจุดคุ้มทุนที่ระดับกำไรขั้นต้นที่ 60-65 บาทต่อกิโลกรัม จากการบริหารจัดการอุปทานที่ดีขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนจากมาตรการล่าสุดของรัฐบาล และอุปทานที่ตึงตัวจากสภาพอากาศร้อน
ทั้งนี้ ใน 1Q68 ราคา Spot กากถั่วเหลืองนำเข้าลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ 16.8 บาทต่อกิโลกรัม (ลดลง 24%YoY, ลดลง 9%QoQ) แซงหน้าราคา Spot ข้าวโพดที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 10.9 บาทต่อกิโลกรัม (เพิ่มขึ้น 5%YoY, เพิ่มขึ้น 9%QoQ) ซึ่งบ่งชี้ว่าต้นทุนอาหารสัตว์ที่แท้จริงจะยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องใน 2Q68
อย่างไรก็ดี ได้ปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่กว้างกว่าคาดจากราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ระดับต่ำ โดยปรับประมาณการกำไรปกติปี 2568 ของ BTG เพิ่มขึ้น 40% มาอยู่ที่ 6 พันล้านบาท และนักวิเคราะห์ในตลาดมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มประมาณกำไรตามมา ปัจจุบันหุ้น BTG ซื้อขายในระดับที่น่าสนใจมากขึ้นที่ PE ปี 2568 ระดับ 6.5 เท่า ขณะที่คาดว่ากำไรปกติจะเติบโต 156% ในปี 2568
ประเด็นรัฐบาลไทยเสนอให้นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไทยลดลงหากได้รับอนุมัติ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการของไทยต่อกรณีนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่ารัฐบาลได้วางกรอบแนวทางในการเจรจากับสหรัฐฯ ไว้แล้ว ซึ่งรวมถึงการนำเข้าข้าวโพดและกากถั่วเหลืองราคาถูกจากสหรัฐฯ เพื่อทดแทนผลผลิตที่ไทยขาดแคลน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนอาหารสัตว์ในประเทศไทยปรับตัวลดลง
สำหรับความกังวลจากเกษตรกรที่คัดค้านการนำเข้าเนื้อสุกรจากสหรัฐฯ นั้น พิชัยกล่าวว่า รัฐบาลพร้อมสนับสนุนเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรของไทย ปัจจุบันไม่มีปัญหาขาดแคลนเนื้อสุกรในประเทศไทย ดังนั้นจึงไม่เข้าข่ายการนำเข้าจากสหรัฐฯ
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา ราคาหุ้น BTG ปรับขึ้น 2.5% สู่ 20.40 บาท ขณะที่ SET Index ปรับลง 3.6% สู่ 1,144.05 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
InnovestX Research คงคำแนะนำ Outperform โดยปรับราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 วิธี SOTP ใหม่เป็น 27.50 บาทต่อหุ้น (จาก 25 บาท) อิงกับ PE 6-10 เท่า สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และอาหาร
ราคาหุ้น BTG (Outperform SET อยู่ 7% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา) มีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องในระยะสั้น จาก:
- กำไรปกติ 1Q68 ที่คาดจะเติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหารที่ 1.65 พันล้านบาท (เทียบกับขาดทุน 126 ล้านบาท ใน 1Q67 และเพิ่มขึ้น 73%QoQ) และแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 2Q68 (ทรงตัว/เพิ่มขึ้น QoQ และเพิ่มขึ้น YoY) จากราคาสุกรในประเทศที่สูงขึ้นท่ามกลางต้นทุนอาหารสัตว์ระดับต่ำใน 2Q68TD
- การปรับประมาณการกำไรปี 2568 เพิ่มขึ้น 40% เพื่อสะท้อนมาร์จิ้นที่ดีกว่าคาด และตลาดมีแนวโน้มที่จะปรับกำไรเพิ่มขึ้นเช่นกัน
- รัฐบาลไทยเสนอให้นำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ต้นทุนต่ำจากสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตไทยลดลงหากได้รับอนุมัติ
ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ อุปสงค์และราคาที่ลดลงจากเศรษฐกิจที่เปราะบางและอุปทานที่มากขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญคือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการขยะและน้ำ (E) สวัสดิภาพของลูกค้า การบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัย (S)
BTG – พรีวิว 1Q68: เติบโตดีที่สุดในกลุ่มอาหาร
https://www.innovestx.co.th/cafeinvest/research/company-analysis/high-conviction/btg-hc-20250423