เกิดอะไรขึ้น:
ข้อมูลรายเดือนล่าสุดในเดือนสิงหาคมแสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศของ AOT อยู่ที่ 5.2 ล้านคน (ทรงตัว MoM) ทำให้ตัวเลขในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมปรับขึ้นมาอยู่ที่ 73% ของระดับก่อนเกิดโควิด (เพิ่มขึ้นจาก 69% ในเดือนเมษายน-มิถุนายน) และยังคงรักษาระดับนี้เอาไว้ได้ในระหว่างวันที่ 1-9 กันยายน
เมื่อใช้สมมติฐานว่า โมเมนตัมเช่นนี้ยังคงดำเนินต่อไป จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 4.6 ล้านคนในเดือนกันยายน (ลดลง MoM จากปัจจัยฤดูกาล) และจะทำให้จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศทั้งหมดในปี FY2566 (ตุลาคม 2565 – กันยายน 2566) ของ AOT อยู่ที่ประมาณ 54 ล้านคน สูงกว่าเป้าหมายของ AOT ที่ 48.5 ล้านคน ซึ่งคาดว่า AOT จะปรับเป้าจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้น
สำหรับช่วงไฮซีซันที่มาพร้อมกับมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา ครม. จึงมีมติอนุมัติมาตรการยกเว้นวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจากจีนและคาซัคสถานในระหว่างวันที่ 25 กันยายน 2566 – 29 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งมองว่าการยกเว้นวีซ่าจะช่วยผลักดันภาคการท่องเที่ยวไทย เนื่องจากจะทำให้นักท่องเที่ยวได้รับความสะดวกมากขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า (ปัจจุบันนักท่องเที่ยวทั้งสองประเทศนี้ต้องยื่นขอวีซ่าก่อนการเดินทางเข้ามาในประเทศไทย หรือมาขอ Visa on Arrival (VOA) ที่สนามบินได้) และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม (2,000 บาทต่อคนสำหรับ VOA)
และคาดว่ามาตรการนี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดจีนที่จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วง 7M66 ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิดอยู่ 72% สำหรับช่วง 7M66 จำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนอยู่ที่ 1.9 ล้านคน คิดเป็น 12% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าประเทศไทย (เทียบกับ 28% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าประเทศไทยในปี 2562) และคาซัคสถานอยู่ที่ 1 แสนคน คิดเป็น 1% ของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้าประเทศไทย
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น AOT ทรงตัว MoM อยู่ที่ระดับ 71.25 บาท ขณะที่ SET Index ปรับเพิ่มขึ้น 0.01%MoM สู่ระดับ 1,535.31 จุด
แนวโน้มผลประกอบการปี 2566:
AOT จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าโมเมนตัมกำไรจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น (เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ) ใน 4QFY66 (กรกฎาคม-กันยายน 2566) และ 1QFY67 (ตุลาคม-ธันวาคม 2566) ขณะที่ในปี FY2566 คาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวกลับมามีกำไรที่ 9.6 พันล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดสู่ 2.6 หมื่นล้านบาทในปี FY2567
อย่างไรก็ดี ประมาณการเต็มปีดังกล่าวบ่งชี้ว่า AOT จะมีกำไรปกติ 4.0 พันล้านบาทใน 4QFY66 (กรกฎาคม-กันยายน 2566) ฟื้นตัวจากขาดทุนในช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น QoQ ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญคือ จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้น และรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่สูงขึ้นหลังจากบริษัทกลับมาเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำจากผู้รับสัมปทานเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2566
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ InnovestX Research มองว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมที่เป็นบวกยังไม่ได้สะท้อนในราคาหุ้น เนื่องจากในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้น AOT ค่อนข้างทรงตัวสอดคล้องกับ SET แต่ยังปรับตัวตามหลังหุ้นอื่นๆ ในกลุ่มท่องเที่ยวที่ปรับขึ้นเฉลี่ย 3% ซึ่งมองว่าเป็นโอกาสให้เพิ่มสถานะการลงทุนใน AOT ได้ โดยให้คำแนะนำ Tactical Call ระยะ 3 เดือนที่ Outperform สำหรับ AOT ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 84 บาทต่อหุ้น โดยอิงกับ WACC ที่ 7.2% และการเติบโตระยะยาวที่ 2%
ส่วนความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะทำให้ความต้องการเดินทางลดลง