เกิดอะไรขึ้น:
เช้านี้ (8 มกราคม) มีรายงานว่า หน่วยพิทักษ์ปฏิวัติอิหร่าน (IRGC) โจมตีตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยขีปนาวุธหลายสิบลูกใส่ฐานทัพอากาศสหรัฐฯ ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดอันบาร์ ทางตะวันตกของประเทศอิรัก โดย IRGC ได้ออกมาแถลงถึงการโจมตีครั้งนี้ว่า เป็นการล้างแค้นจากการที่สหรัฐฯ สังหาร พล.ต. กัสเซม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลังกุดส์ เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 3 มกราคม (ตามเวลาท้องถิ่น)
กระทบอย่างไร:
เหตุการณ์ดังกล่าวข้างต้นกลับมาสร้างความกังวลต่อสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น และเข้าสู่สภาวะ Risk-Off อีกครั้ง
โดยในช่วงเช้าวันนี้ราคาทองคำ Spot ปรับเพิ่มขึ้น 2.4%DoD, ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent Crude) ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 5%DoD และราคาหุ้น บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ปรับขึ้น 2.2%DoD
สวนทางกับ SET Index ที่ปรับลง 1.78%DoD จากความกังวลสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่าน ที่อาจจะบานปลายรุนแรงขึ้น
มุมมองระยะสั้น:
SCBS มองว่า ประเด็นความขัดแย้งนี้จะยังคงกดดันต่อสินทรัพย์เสี่ยง ตราบที่ทั้งสองฝ่ายยังคงเปิดฉากโจมตีต่อกัน แต่หากการสู้รบยังไม่ขยายวงกว้างออกไป คาดว่า ตลาดหุ้นพร้อมจะฟื้นตัวกลับ
ขณะที่ SET Index ยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวไปตามอิทธิพลของปัจจัยภายนอกมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ รวมทั้งการเข้าสู่ช่วงของการประกาศผลการดำเนินงานรอบปี 62 ในระยะสั้น จึงทำให้ดัชนีฯ ยังเผชิญกับความผันผวนที่สูง
ส่วนสินทรัพย์เสี่ยงที่ได้ประโยชน์จากประเด็นนี้คงหนีไม่พ้นที่จะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง ‘น้ำมันดิบ’ ซึ่งมองจะได้รับ Sentiment เชิงบวกจากความกังวลว่า อุปทานอาจสะดุดในช่วงสั้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มปิโตรเลียมต้นน้ำของไทยน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางขาขึ้นตามราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ตรงข้ามกับหุ้นที่ใช้น้ำมันเป็นต้นทุนในการผลิตสินค้าและบริการ โดยเฉพาะกลุ่มขนส่งที่คาดว่า จะได้รับผลกระทบเชิงลบโดยตรงจากต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
ส่วนสินทรัพย์ปลอดภัยนอกเหนือจากตราสารหนี้แล้ว เรามองว่า ทองคำนับเป็นอีกแหล่งพักเงินยามโลกมีความเสี่ยงสูง และประเมินว่า ราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อได้ แต่อย่างไรก็ดี อาจต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเงินดอลลาร์ที่จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับราคาทองคำ ประกอบกับล่าสุดราคาทองปรับขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 7 ปี ทำให้การปรับขึ้นของราคาทองคำอาจจะเริ่มมี Upside ที่จำกัดในช่วงสั้นนี้
มุมมองระยะยาว:
SCBS ประเมินราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจมีแนวโน้มปรับขึ้นได้อีกไม่มากนักจากปัจจุบัน โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์อาจขึ้นไปถึง 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ใน 1-2 เดือนข้างหน้า จาก 3 ปัจจัย คือ 1. ภาคการผลิตโลกที่เริ่มฟื้นตัว ทำให้ความต้องการน้ำมันโลกเริ่มสูงกว่ากำลังการผลิต 2. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ขณะที่สงครามการค้าสหรัฐฯ และจีนเริ่มเบาบางลง และ 3. ปริมาณผู้ผลิตน้ำมันสหรัฐฯ เริ่มลดลง และกลุ่มโอเปกตัดสินใจลดกำลังการผลิตลง ทำให้อุปทานของน้ำมันดิบมีแนวโน้มลดลง
สำหรับตลาดหุ้นไทยคงต้องติดตามทิศทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีผลกระทบทางตรงต่อทิศทางผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน เช่น การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน กำลังซื้อภายในประเทศ มูลค่าการส่งออก รวมไปถึงตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะที่ทิศทางค่าเงินบาทเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ต้องจับตาในระยะยาว
ข้อมูลพื้นฐาน:
ภาวะ Risk-On คือ ภาวะที่นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เกิดจากการที่นักลงทุนกังวลจากปัจจัยลบ จึงทำให้นักลงทุนปิดรับความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งให้ตอบแทนสูง ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับลดลง ขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ ทองคำ ฯลฯ ซึ่งให้ผลตอบแทนต่ำกว่าในเชิงเปรียบเทียบ ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น
หมายเหตุ: %DoD คือ % การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับวันทำการก่อนหน้า
