ใต้สถานการณ์ที่เกมยังคงเสมอกันอยู่ ความตึงเครียดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสนามมาราคานา ชามอ่างยักษ์ หนึ่งในสังเวียนศักดิ์สิทธิ์ที่คนรักในกีฬาลูกหนังทุกคนเฝ้าฝันถึงว่าจะมีโอกาสได้ไปเยือนแค่สักครั้ง
“ลงไปแล้วแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าแกเก่งกว่ามัน” โยอาคิม เลิฟ บุนเดสเทรนเนอร์ (หมายถึงโค้ชทีมชาติเยอรมนี) สั่งการบอกไอ้หนูที่ยืนอยู่ข้างสนามในเวลานั้นให้มีความมั่นใจในตัวเองว่า หากจะมีสักคนที่สามารถ ‘พิชิต’ เกมนี้ได้ คนคนนั้นไม่จำเป็นต้องชื่อ ลิโอเนล เมสซี เสมอไป
ที่เลิฟพูดแบบนี้ เพราะวันนั้นคนที่ทุกคนเฝ้าจับตามองเป็นพิเศษคือ เมสซี ราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์ ผู้ซึ่งถูกตั้งคำถามว่า เขาจะสามารถนำทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรกของเขาได้หรือไม่
มันเป็นความกดดันของซูเปอร์สตาร์ที่ถูกบอกว่า ทางเดียวที่เขาจะได้ขึ้นไปยืนเคียงข้างกับเหล่าราชารุ่นก่อนอย่าง เปเล่ และ มาราโดนา ได้นั้น เขาต้องผ่านบทพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่อย่างการคว้าโทรฟีสีทองใบนั้นให้ได้ก่อน
เวลาในสนามผ่านไปเรื่อยๆ สวนทางกับความอ่อนล้าจากการกรำศึกหนักตลอดทั้งรายการ และมันทำให้เมสซีสิ้นฤทธิ์ ไม่สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้เหมือนเคย
จนกระทั่งเกมเข้าสู่นาทีที่ 112 เยอรมนีได้เปิดเกมบุกเข้าใส่ อังเดร ชูร์เล ปีกขาโก่งพาบอลขึ้นมาทางปีกซ้ายก่อนจะตวัดเข้ากลางมาที่เสาแรก
มาริโอ เกิตเซ ในวัย 22 ปี ปรี่เข้าไปพักบอลด้วยอกอย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะตวัดยิงด้วยเท้าซ้าย เท้าข้างที่ไม่ถนัดของเขา แต่ลูกยิงนั้นกลับแม่นยำอย่างเหลือเชื่อ บอลผ่านมือเซร์คิโอ โรเมโร เข้าเสาแรกไปอย่างสวยงาม
มันเป็นประตูที่ทำให้ทีมอินทรีเหล็กคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 4 และมันเป็นประตูที่ทำให้ผู้คนจดจำชื่อของเขา มาริโอ เกิตเซ ได้ในฐานะวีรบุรุษแห่งมาราคานา
ปีศาจร้ายผู้ทำลายไอ้หนูมหัศจรรย์
วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว จากวันนั้นสู่วันนี้ก็เกือบ 4 ปี หลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก อย่าว่าแต่โลกของเราเลย แม้แต่ชีวิตคนก็เปลี่ยนไปเยอะ
เกิตเซเองก็เหมือนกันครับ จากซูเปอร์ฮีโร่ในวันนั้น วันนี้เขากลายเป็นนักฟุตบอลที่ต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อรักษาชีวิตลูกหนังของตัวเองเอาไว้
ถ้าใครติดตามฟุตบอลเยอรมนี คงจะพอทราบข่าวบ้างนะครับว่า เขาถูกตรวจพบว่ามีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ซึ่งเป็นโรคที่แปลกประหลาดและหาพบได้ยาก
ไม่มีการเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าอาการที่เขาเผชิญนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ แต่มีการพูดกันว่าเป็นอาการกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ทำให้เหน็ดเหนื่อยง่ายและทำให้น้ำหนักขึ้นง่ายกว่าปกติ
มันคือต้นเหตุของผลงานที่ตกต่ำลงของเขา มันคือปีศาจร้ายที่ทำลายตัวเขาเองจากข้างใน และเป็นคำตอบว่าทำไมการพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักของเขาที่ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าคนอื่นเลย จึงจบลงด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนแอลงทุกวัน
โรคดังกล่าวทำให้ต้นสังกัดของเขา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจสั่งพักงานทันที
ทั้งเพื่อรักษาชีวิตการเล่น และรักษาชีวิตจริงๆ ของเขาในกรณีที่ไม่สามารถกลับมาเล่นได้
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่เคยพิชิตโลกทั้งใบไว้ใต้ฝ่าเท้าอย่างเขา
เกิตเซเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลผู้ทรงพรสวรรค์ที่สุด เป็นความภูมิใจของชาวเยอรมัน เขาเป็นคนที่ เจอร์เกน คล็อปป์ แทบอดทนรอไม่ไหวในการส่งลงประเดิมสนามให้ดอร์ทมุนด์ จนกระทั่งวันนั้นมาถึงในปี 2009 ที่เกิตเซได้โอกาสลงสนามครั้งแรกในวัย 17 ปี เป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นลำดับที่ 9 ในประวัติศาสตร์ของบุนเดสลีกา
‘เจ้าชายผมแดง’ มัทธีอัส ซามเมอร์ หนึ่งในลิเบอโรที่เก่งกาจที่สุดของเยอรมนี ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้อำนวยการทีมดอร์ทมุนด์ บอกว่า เขาเป็น ‘หนึ่งในนักเตะพรสวรรค์สูงสุดที่เราเคยมี’ ขณะที่ เฟลิกซ์ มากัธ โค้ชเจ้าของสมญาจอมขมังเวท ให้นิยามเขาว่า ‘นักเตะที่ร้อยปีจะมีสักคน’
บุนเดสเทรนเนอร์อย่างเลิฟ เรียกเขาว่า ‘Wunderkind’ หรือ ‘ไอ้หนูมหัศจรรย์’ และเหนืออื่นใด ‘ไกเซอร์ลูกหนัง’ ฟรานซ์ เบ็คเคนเบาเออร์ ยกย่องว่าเป็น ‘ตัวรุกที่ดีที่สุดของเยอรมนี’
สิ่งที่เกิตเซเผชิญหน้ามันหนักหนาและสาหัสมากครับ ขนาดเราแค่คิดตามว่าแม้กระทั่งคนระดับนี้ คนที่เหมือนชีวิตถูกลิขิตจากฟ้ามาเพื่อให้ยืนอยู่เหนือคนอื่นเองก็สามารถที่จะ ‘ล้ม’ และ ‘ร่วง’ ลงมาได้เหมือนกัน ยังรู้สึกเห็นใจในโชคชะตา
แล้วความรู้สึกของเกิตเซมันจะแตกสลายเป็นผุยผงขนาดไหน
แต่โชคชะตาที่โหดร้ายไม่สามารถทำลายเขาได้ครับ
วันนี้เกิตเซกลับมาลงสนามได้อีกครั้งในทีมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ซึ่งแม้ว่าเขาจะยังไม่สามารถเล่นได้ใกล้เคียงกับมาตรฐานเดิมที่เคยทำได้ และต้องมีการปรับเปลี่ยนบทบาทใหม่เพื่อให้เหมาะสมกับความสามารถทางร่างกายของตัวเองในเวลานี้
ร่างกายที่ไม่กระฉับกระเฉงเท่าเก่า หมายถึงการเล่นที่ต้องใช้ความคิดมากขึ้น
ไม่ต่างอะไรจากบทเรียนของความผิดพลาดในอดีต การตัดสินใจที่หุนหันกับการย้ายข้ามฟากจากดอร์ทมุนด์ ไปร่วมทีมบาเยิร์น มิวนิก แบบหักหาญน้ำใจแฟนบอล แต่กลับพลาดในวันเปิดตัวด้วยการสวมเสื้อของแบรนด์กีฬายี่ห้อหนึ่งที่ขัดแย้งกับแบรนด์ที่สนับสนุนสโมสร ทำให้เขาทำอะไรรอบคอบมากยิ่งขึ้น
แม้ว่าการซมซานกลับมาต้นสังกัดเก่าจะทำให้เขาได้รับก้อนอิฐมากกว่าดอกไม้ แต่วันเวลาก็ช่วยเยียวยาแผลใจระหว่างเขาและแฟนบอลให้บรรเทาขึ้นตามลำดับ
‘Pummelfee’ หรือ ‘เจ้าเทวดาแก้มป่อง’ สมญาที่เพื่อนในทีมดอร์ทมุนด์ตั้งให้ กลับมาในฐานะคนใหม่ ร่างกายไม่แกร่งเท่าเก่า แต่หัวใจผ่านการขัดเกลาให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของมาริโอ
ในวันเวลาที่เจ็บปวดของชีวิต ช่วงที่เขาประสบปัญหาฟอร์มการเล่นตกต่ำ และสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ มาริโอ เกิตเซ ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนครับ
เขาแต่งหนังสือภาพสำหรับเด็กขึ้นมาเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า Marios großer Traum หรือแปลได้ว่า ‘ความฝันที่ยิ่งใหญ่ของมาริโอ’
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่ชีวประวัติของเขาครับ หากแต่เป็นเรื่องราวที่งดงามของเจ้าหนูวัย 10 ขวบที่ชื่อ มาริโอ (แน่นอนว่ามีเขาเป็นต้นแบบ) ผู้มีความฝันที่จะเติบโตเป็นนักฟุตบอลอาชีพและอยากจะได้สวมเสื้อของ Die Mannschaft หรือเสื้อทีมชาติเยอรมนีสักครั้ง
จะมีแมวมองสักคนได้เห็นฟอร์มของเขาในเกมนัดชิงแชมป์หรือเปล่า?
ผู้เฒ่าปริศนาที่แสนงี่เง่าคนนั้นจะช่วยให้ความฝันของเขาเป็นจริงได้ไหม?
เขาจะต่อสู้กับ ทาเร็ค และ อาห์เม็ด คู่ต่อสู้ตัวฉกาจไหวหรือไม่?
หนังสือภาพเล่มนี้จะมอบทั้งบทเรียนและแรงบันดาลใจให้แก่เด็กๆ ที่จะได้ทำความรู้จักกับมาริโอ และได้เรียนรู้เรื่องราวของเกมฟุตบอลและชีวิตไปพร้อมกัน
ฟังเหมือนง่าย แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่ทราบคือ การทำหนังสือภาพสำหรับเด็กนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้ง่ายๆ เลย
การทำหนังสือเด็กนั้นเล่าแบบคร่าวๆ มันคือความละเอียดอ่อนที่มองไม่เห็น เด็กนั้นเห็นซนๆ แบบนี้แต่รู้เยอะและช่างสังเกตกว่าผู้ใหญ่มากมายหลายเท่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกเล่านั้นต้องมีคำตอบให้แก่เขาเสมอ
เพราะหากเราตอบแบบส่งเดชไป นั่นหมายถึงเรากำลังปลูกฝังเขาในสิ่งที่ผิด และมันจะติดตัวเขาไปตลอดชีวิตที่เหลือ
ภาพที่วาดต้องเป็นลายเส้นที่ไม่สลับซับซ้อน และต้องละเอียดอย่างมาก เช่น หากสมมติวาดภาพนักฟุตบอลมีตราสโมสรอยู่บนอกด้านขวา ในหน้าถัดไปเกิดวาดติดอกด้านซ้าย เด็กสามารถสังเกตเห็นได้ทันที และนั่นจะนำไปสู่คำถามที่เราไม่สามารถตอบได้อย่างถูกต้อง
ภาษาที่ใช้ต้องเป็นภาษาเด็ก ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับภาษาผู้ใหญ่ที่คิดว่าเป็นเด็ก และเช่นกันครับว่าต้องเป็นภาษาที่ถูกด้วย ถ้าใช้คำผิดเด็กก็จะจำคำนั้นไปตลอด
ด้วยความละเอียดอ่อนเช่นนี้ ทำให้การทำหนังสือสำหรับเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่เกิตเซเลือกจะทำ เพราะเขาเชื่อว่ามันคือสิ่งที่ควรทำ
“เด็กๆ สำคัญมากสำหรับผม เพราะพวกเขาคืออนาคต ดังนั้นผมจึงตัดสินใจที่จะเขียนหนังสือเด็กเกี่ยวกับเรื่องความเคารพ การยอมรับผู้อื่น และการเปิดใจให้กว้าง”
และที่สำคัญ ชัยชนะ ชื่อเสียง เกียรติยศ และเงินทอง ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต
ชีวิตคนเรามีอะไรที่สำคัญกว่านั้นมาก และมันได้ถูกส่งต่อให้แก่เด็กๆ ชาวเยอรมันไปเรียบร้อยแล้ว
สำหรับเกิตเซ นี่คือความสำเร็จที่ไม่ได้น้อยไปกว่าประตูชัยในนัดชิงฟุตบอลโลกเลยครับ
มันไม่ใช่ ‘การทำประตู’ แบบคราวนั้น แต่เป็นการส่งต่อความฝัน และเป็นการ ‘ผ่านบอล’ ที่นอกจากจะแม่นยำแล้วยังน่ารักมากด้วย
คิดเหมือนกันไหมครับ 🙂
อ้างอิง:
- www.bundesliga.com/en/news/Bundesliga/borussia-dortmund-s-mario-gotze-childrens-book-of-the-year-mario-s-dream-473932.jsp
- web.facebook.com/mariosgrossertraum/?_rdc=1&_rdr
- www.marios-grosser-traum.de/buch
- www.theguardian.com/football/2017/mar/21/mario-gotze-germany-england-world-cup-borussia-dortmund
- ผู้เฒ่าปริศนาในหนังสือภาพ Marios großer Traum เป็นอดีตนักฟุตบอลระดับดาวดังเลยนะครับ และไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ โยอาคิม เลิฟ นั่นเอง!
- รายได้จากการจำหน่ายหนังสือเด็กเล่มนี้ทั้งหมดจะมอบให้แก่มูลนิธิ Kid to Life ที่สนับสนุนกิจการและโครงการในเยอรมนีเป็นหลัก รวมถึงกิจกรรมในต่างประเทศที่มีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือเยาวชนและวัยรุ่นผู้ด้อยโอกาส
- ในวันเปิดตัวหนังสือเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เกิตเซนั่งอ่านเรื่องราวของเจ้าหนูมาริโอ ให้เด็กๆ ได้ฟังด้วยตัวเองในพิพิธภัณฑ์ฟุตบอลในเมืองดอร์ทมุนด์ โดยใกล้ๆ กันนั้นมีรองเท้าสตั๊ดข้างซ้าย ข้างที่เขายิงประตูสู่ฝันในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2014
- และหนังสือเล่มนี้เพิ่งได้รับการโหวตเป็นหนังสือเด็กแห่งปี 2017 ของเยอรมนี ไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (21 ก.พ.) นี้เองครับ!