ความคืบหน้ากรณีที่กองบังคับการตำรวจน้ำ (บก.รน.) รายงานว่า เรือบรรทุกน้ำมันของกลางขนาดใหญ่จำนวน 3 ลำ ซึ่งบรรจุน้ำมันรวมกว่า 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี
วันนี้ (13 มิถุนายน) พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ นุชนารถ ผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจน้ำ เปิดเผยว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายทางทะเลรวมไปถึงการข่าวภาคประมงอยู่ระหว่างการระดมสรรพกำลังติดตามเรือบรรทุกน้ำมันที่สูญหายกลับมาตั้งแต่วานนี้ (12 มิถุนายน) ได้ประสานกองบินตำรวจให้ช่วยติดตามจากภาคอากาศเป็นการบินลาดตระเวนในแนวที่คาดว่าเรือจะไปถึง
สำหรับเรือของกลางในรอบนี้มีทั้งหมด 5 ลำ เป็นการติดตามจับกุมตรวจยึดมาตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม ตามข้อหา พ.ร.บ.ศุลกากร และ พ.ร.บ.สรรพสามิต หลังตรวจยึดมาได้ อยู่ในระหว่างการทำเรื่องจำหน่ายน้ำมันของกลางโดยรูปแบบการประมูลขาย ซึ่งส่วนนี้ทำโดยเจ้าหน้าที่จากกรมศุลกากร ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจปริมาณและคุณภาพน้ำมันที่ยึดมาได้ไป 2 ครั้งแล้ว โดยการจัดประมูลขายต้องใช้เวลา
พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ กล่าวต่อว่า จากการจับกุมเรือของกลางทั้ง 5 ลำ มีน้ำมันเถื่อนอยู่ภายใน 3 ลำ คือลำที่หายไป ส่วนอีก 2 ลำเป็นเรือเปล่าที่คาดว่าอยู่ระหว่างการไปรับน้ำมันหรือส่งน้ำมันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่เชื่อว่าทั้ง 5 ลำที่จับมาเป็นคนละเจ้าของ
ทั้งนี้การตรวจยึดเรือของตำรวจน้ำตามขั้นตอนปกติแล้วจะต้องมีเจ้าหน้าที่เฝ้าเวรตลอด 24 ชั่วโมง และต้องมีคนประจำอยู่ในเรือด้วย เพราะต้องคอยเปิดเครื่องสูบน้ำสูบน้ำออกจากใต้ท้องเรือตลอด ไม่อย่างนั้นเรือจะจม สำหรับเรือของกลาง เมื่อจับกุมมา ทางตำรวจน้ำได้ส่งตัวผู้ต้องหาในเรือทั้งหมดให้ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อทั้งหมดได้รับการประกันตัวออกมา ตำรวจน้ำได้ให้เจ้าของเรือและลูกเรือเดิมกลับลงเรือไปคอยดูแลเรือของกลาง โดยจัดกำลังตำรวจเป็นเวรแต่ละผลัดมาเฝ้าเรือแต่ละลำ
ในวันที่เกิดเหตุ (11 มิถุนายน) เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานมาตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายนแล้ว ว่าในทะเลจะมีคลื่นแรง และอาจทำให้เรือที่ผูกติดอยู่กับท่าเรือกระแทกกับท่าเรือ และอาจเกิดประกายไฟได้หากภายในเรือบรรจุน้ำมัน จึงอาจเสี่ยงอันตรายถึงขั้นระเบิด
ทางเจ้าหน้าที่ที่ดูแลขณะนั้นเป็นระดับสารวัตรจึงตัดสินใจให้เรือของกลางทั้งหมดไปผูกทิ้งทุ่นอยู่ข้างนอกท่าเรือ เพื่อจะได้ป้องกันการกระแทกกับขอบของท่าเรือ โดยในช่วงเวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่ยังคงเห็นเรือเหล่านั้นเปิดไฟทำการอยู่ แต่ช่วงเวลา 22.00 น. เรือปิดไฟ จนกระทั่งช่วงเช้า เมื่อตรวจสอบอีกครั้งจึงทราบว่าเรือทั้ง 3 ลำหายไปแล้ว
พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ กล่าวต่อว่า ทางการข่าวเชื่อว่าเรือของกลางที่สูญหายทั้ง 3 ลำมีความเกี่ยวข้องกับ ‘โจ้ น้ำมันเถื่อน’ หรือ ‘โจ้ ปัตตานี’ ขณะนี้เรือทั้งหมดที่หายไปไม่อยู่ในน่านน้ำไทย แต่ไปอยู่ในพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านแล้ว และยืนยันว่าการสูญหายครั้งนี้เป็นการสูญหายที่มีผู้นำไปจากที่เกิดเหตุแน่นอน ขณะนี้ตำรวจมีชื่อผู้ที่กระทำความผิดแล้ว ถ้าถูกจับกุมตัวได้จะดำเนินการลงโทษอย่างร้ายแรง
กรณีที่เกิดขึ้นนี้ยอมรับว่าเป็นความบกพร่องของตำรวจน้ำ ซึ่งต้องตรวจสอบหาผู้ที่ร่วมลงมือก่อเหตุ และจะต้องให้รับโทษทางกฎหมาย หากเป็นเจ้าหน้าที่จะต้องเจอบทลงโทษทั้งทางวินัยและทางอาญา แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทางตำรวจน้ำไม่ได้ประสงค์ให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้วก็ต้องตามจับให้ได้และต้องพิจารณาข้อบกพร่องของผู้ที่ดูแล
พล.ต.ต. พฤทธิพงศ์ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาทางตำรวจน้ำไม่เคยมีเรือขนาดใหญ่ 5 ลำมาจอดเทียบท่าเรือพร้อมกัน ซึ่งเรือทั้ง 5 ลำนี้ไม่ได้มีการทำแถบกันคลื่นที่รอบเรือ เมื่อมีรายงานว่าในทะเลจะเกิดคลื่นแรงจึงต้องตัดสินใจหาวิธีป้องกันอันตรายจากการกระแทก
แนวทางในการนำเรือใหญ่ออกไปทิ้งทุ่นกลางทะเลในช่วงที่เกิดมรสุมเป็นหลักปฏิบัติมาโดยตลอด เพราะถ้าเรือเทียบอยู่ใกล้ฝั่งแล้วเกิดการกระแทกอาจทำให้เกิดอันตราย แต่ทั้งนี้วิธีการก็ยอมรับว่ายังมีวิธีป้องกันได้อีกหลายรูปแบบ ซึ่งตนก็ได้แจ้งกับผู้ที่ตัดสินใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่บกพร่องโดยแน่นอน ตั้งแต่ผู้สั่ง ผู้เฝ้า ผู้ที่ไม่รายงาน
ในส่วนมูลค่าความเสียหายของเรือน้ำมันของกลางทั้ง 3 ลำที่หายไป ยอมรับว่าขณะที่ตรวจยึดมาไม่ได้มีการประเมินมูลค่า แต่โดยประมาณคาดว่าจะอยู่ที่ 10 ล้านบาท น้ำมันทั้งหมดที่สูญหายไปเป็นน้ำมันประเภทดีเซล
วันนี้ส่วนกลางมีการส่ง พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และจเรตำรวจ มาตรวจสอบเหตุที่เกิด ทางตนเองได้เรียนให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบให้เต็มที่ ถ้าพบตรงไหนเป็นความบกพร่องของใครขอให้ท่านดำเนินการให้เต็มที่ ตนเองยอมรับว่าโกรธมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเรื่องแบบนี้ไม่ควรจะเกิด ต้องยอมรับว่า แค่การจับผู้ต้องหามาดำเนินคดีก็ถือเป็นเรื่องยากแล้ว กว่าจะลากเรือทั้งหมดมาควบคุมใช้เวลามากกว่า 24 ชั่วโมง แต่กลับเกิดเหตุการณ์สูญหาย ในครั้งนี้ผู้ที่สั่งการคือสารวัตร ซึ่งต้องรับผิดชอบ รวมไปถึงเจ้าหน้าที่ผลัดต่างๆ ที่เข้ามาเฝ้าเวร