เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดีแห่งฟิลิปปินส์ ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนสหรัฐฯ เป็นเวลา 3 วัน เตรียมพบปะหารือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดีซี. วันนี้ (22 กรกฎาคม) ท่ามกลางความพยายามบรรลุข้อตกลงการค้าและลดอัตราภาษีตอบโต้ 20% ก่อนเส้นตายในวันที่ 1 สิงหาคม
มาร์กอส ซึ่งได้พบกับมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ และพีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ วานนี้ (21 กรกฎาคม) เตรียมเป็นผู้นำจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนแรก ที่จะได้หารือกับทรัมป์ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2
มาร์กอส คาดหวังว่าการหารือกับทรัมป์ หลักๆ จะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นความมั่นคงและการป้องกันประเทศ รวมถึงเรื่องข้อตกลงการค้าด้วย
“เราจะรอดูว่าเราจะก้าวหน้าได้มากเพียงใด ในการเจรจากับสหรัฐฯ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการที่จะดำเนินการ เพื่อบรรเทาผลกระทบของการเรียกเก็บภาษีศุลกากรที่รุนแรงต่อฟิลิปปินส์”
ทั้งนี้ ทรัมป์ได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับพันธมิตรในภูมิภาคอาเซียน 2 ประเทศ ได้แก่ เวียดนามและอินโดนีเซีย โดยลดอัตราภาษีลงเหลือ 20% และ 19%
ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งขาดดุลการค้ากับฟิลิปปินส์เมื่อปีที่แล้ว เกือบ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ได้เพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าฟิลิปปินส์จาก 17% ที่ประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน เป็น 20%
อย่างไรก็ตาม เกรกอรี โพลิง ผู้เชี่ยวชาญด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และระหว่างประเทศแห่งวอชิงตัน มองว่า ฟิลิปปินส์ในฐานะพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ ในภูมิภาค อาจจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่ดีกว่าเวียดนาม
ในขณะที่มาร์กอส ยังมุ่งเน้นการส่งเสริมความร่วมมือด้านกลาโหมระหว่างทั้งสองประเทศที่ดำเนินมายาวนานกว่า 7 ทศวรรษ ซึ่งมาร์กอสเรียกสนธิสัญญาป้องกันร่วมระหว่างสองประเทศว่าเป็น ‘รากฐาน’ ของความสัมพันธ์ทวิภาคี และความเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของฟิลิปปินส์และสหรัฐฯ กำลังช่วยรักษาเสถียรภาพในทะเลจีนใต้
อ้างอิง: