แต่ก่อนแต่ไรมา เกมระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูล คือหนึ่งในสุดยอดเกมของวงการฟุตบอลที่คอลูกหนังทั่วโลกให้ความสนใจเสมอ
เพราะนี่คือสองสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของอังกฤษ มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและมีเรื่องราวความขัดแย้งที่สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคสมัยวิกตอเรียในช่วงแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เป็นเรื่องความรู้สึกของชาวแมนคูเนียนและสเกาเซอร์ที่หยั่งรากฝังลึกมาตั้งแต่นั้น
แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปวงการฟุตบอลอังกฤษจะมีมหาอำนาจใหม่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี และอาจรวมถึงนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดในอนาคต และหลายครั้งที่ดูเหมือนการเผชิญหน้ากันระหว่างสโมสรในระดับท็อปอาจจะเร้าใจและดุเดือดกว่าการพบกันของสองมหาอำนาจแต่ดั้งเดิม แต่ในความรู้สึกแล้วศึกระหว่าง ‘ปีศาจแดง’ และ ‘หงส์แดง’ ยังคงเป็นเกมที่ใหญ่กว่าเสมอ
เช่นกันกับการพบกันในค่ำคืนนี้ (24 ตุลาคม) ซึ่งจะเป็นการเจอกันครั้งที่ 59 เฉพาะในพรีเมียร์ลีก และหากนับรวมทั้งหมดจะเป็นการพบกันครั้งที่ 208 แล้วนับจากเกม ‘แดงเดือด’ ครั้งแรกในวันที่ 28 เมษายน 1894 ก็มีสิ่งที่น่าติดตามอยู่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน
เกมจุดประกายหรือทำลายความหวัง
จากฟอร์มในช่วงที่ผ่านมาฝ่ายที่ถูกตั้งคำถามมากกว่าในการลงสนามครั้งนี้คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะในฤดูกาลนี้เป็นครั้งแรกที่ทีมของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ถูกคาดหวังว่าจะยกระดับขึ้นมาเป็นทีมเต็งในการลุ้นแชมป์อย่างจริงจังโดยยึดจากผลงานที่ดีขึ้นย่างมีนัยสำคัญในฤดูกาลก่อน (2020-21) และการเสริมทัพด้วยนักเตะมีคลาส 3 คนทั้ง จาดอน ซานโช, ราฟาเอล วาราน และที่สุดของที่สุดอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด
แต่ผลงานที่ปรากฏก็มิได้นำพาว่าพวกเขาดูดีพร้อมแต่อย่างใด
ความพ่ายแพ้ต่อแอสตัน วิลลาและเลสเตอร์ ซิตี้ รวมถึงเสมอเซาแธมป์ตันและเอฟเวอร์ตันในพรีเมียร์ลีก, การแพ้ยัง บอยส์ เบิร์น ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และตกรอบลีก คัพด้วยน้ำมือของเวสต์แฮม ยูไนเต็ด (ที่เกือบจะไล่ตีเสมอได้ในลีกด้วยหาก มาร์ค โนเบิล ไม่ยิงจุดโทษพลาด) ทำให้สถานการณ์ของทีมแม้จะไม่ถึงกับแย่จัดแต่ก็ไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น
โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกที่ 4 จาก 7 ฤดูกาลหลังสุดทีมที่ได้แชมป์จะแพ้ตลอดทั้งฤดูกาลไม่เกิน 2-3 นัด นั่นหมายถึงโซลชาไม่ควรจะพาทีมแพ้นัดที่ 3 ในเกมที่ 9 ของฤดูกาล
อย่างไรก็ดี จากการพลิกฟอร์มในช่วง 45 นาทีหลังในเกมล่าสุดกับอตาลันตา จากการตามหลัง 2 ประตูกลับมาเอาชนะได้สุดมัน 3-2 ทำให้กราฟความมั่นใจที่ดิ่งเหวกลับพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง และหากเกมนี้พวกเขาสามารถเอาชนะลิเวอร์พูลได้ ก็อาจจะเป็นการช่วยจุดประกายให้ทีมกลับมา ‘เข้าเบรก’ เก็บชัยชนะเป็นว่าเล่นได้อีกครั้ง และพลิกกลับมาเป็นทีมลุ้นแชมป์อย่างจริงจัง
เรื่องนี้สำคัญมากเพราะโปรแกรมหลังจากเกมกับลิเวอร์พูลยังมีท็อตแนม ฮอตสเปอร์, แมนเชสเตอร์ ซิตี้, เชลซี และอาร์เซนอล รออยู่
แดงเดือดวันนี้จึงเป็นได้ทั้งเกมที่จะจุดประกายหรือทำลายความหวังสำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ความสามารถเฉพาะตัว vs. ทีมเวิร์ก
สิ่งที่แตกต่างกันที่สุดระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและลิเวอร์พูลที่ชัดเจนและเป็นที่พูดถึงกันอย่างมากคือ ‘สไตล์’
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้ยุคของโซลชาร์เป็นทีมที่เต็มไปด้วยนักฟุตบอลฝีเท้าระดับเอกอุมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คริสเตียโน โรนัลโด, บรูโน แฟร์นันด์ส, มาร์คัส แรชฟอร์ด, เมสัน กรีนวูด, เอดินสัน คาวานี, พอล ป็อกบา หรือแม้แต่ จาดอน ซานโช
นักเตะเหล่านี้เก่งมากพอที่จะสามารถพลิกเกมได้ด้วยการเล่นเพียงครั้งเดียว ซึ่งที่ผ่านมาเราจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตลอด เรียกได้ว่าโซลชาร์เป็นผู้จัดการทีมที่น่าอิจฉามากที่สุดคนหนึ่งก็ว่าได้
อย่างไรก็ดี หากมองในเรื่องของระบบและโครงสร้างทีมแล้วนี่เป็นสิ่งที่ผู้จัดการทีมชาวนอร์เวย์ถูกวิจารณ์มากที่สุดเช่นกันโดยเฉพาะในยามที่ทีมทำผลงานได้ไม่ดีแล้วเรื่องนี้จะถูกขุดขึ้นมาเป็นประเด็นเสมอ
ตรงนี้เองที่แตกต่างจากลิเวอร์พูลซึ่งเป็นทีมที่อยู่ได้ด้วยระบบ และระบบที่ เจอร์เกน คล็อปป์ วางไว้ตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อนนั้นเป็นระบบการเล่นที่ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นหนึ่งในทีมชั้นนำของวงการฟุตบอลในเวลานี้
แต่ก็เช่นกันในเรื่องความสามารถเฉพาะตัวแล้วนักเตะลิเวอร์พูลเป็นรองหลายทีมรวมถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเอง ซึ่งตรงนี้เราจะได้เห็นกันใน 90 นาทีที่โอลด์แทรฟฟอร์ดว่าสุดท้ายแล้ว ความสามารถเฉพาะตัวหรือระบบทีม อะไรจะนำชัยชนะกลับมาให้ทีมได้มากกว่ากัน
ซาลาห์ท้าชนโรนัลโด
นอกจากในส่วนของทีมแล้วสิ่งที่น่าติดตามไม่แพ้กันในเกมคืนนี้คือการเผชิญหน้ากันของ 2 ซูเปอร์สตาร์ของทั้งสองทีมที่เป็นตัวความหวังสูงสุดในเวลานี้อย่าง คริสเตียโน โรนัลโด และโมฮาเหม็ด ซาลาห์
คนแรกไม่มีอะไรต้องอธิบายให้มากความ นี่คือศูนย์หน้าที่จบสกอร์ได้เก่งที่สุดแห่งยุคสมัย เป็นความมหัศจรรย์ของเกมฟุตบอลที่ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์อีกแล้ว และแม้จะอยู่ในวัย 36 ปีโรนัลโดก็ยังเป็นฮีโร่ของทีมได้อย่างสบายๆ
ล่าสุดคือการโขกพังประตูชัยในเกมกับอตาลันตา ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขาได้บทแบบนี้ไปครอง แม้จะมีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องของการทำหน้าที่ในเกมรับที่ส่งผลต่อรูปเกมในภาพรวมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โรนัลโดก็ยักไหล่ผายมือให้บอกว่า “งานของผมคือการทำประตู” ซึ่งแค่ไม่ถึง 2 เดือนเขาก็ทำไปแล้ว 6 ประตูด้วยกัน
ขณะที่ซาลาห์ในวัย 29 ปีกำลังอยู่ในช่วงที่ทำผลงานได้ร้อนแรงที่สุดในชีวิต เหมือนจะร้อนเสียยิ่งกว่าในฤดูกาล 2017-18 ที่เขาย้ายมาจากโรมาเป็นปีแรกและกดสูตรร่างทองติดยิงไป 44 ประตูตลอดฤดูกาล
สตาร์ชาวอียิปต์ยิงไปแล้ว 9 ประตูติดต่อกัน และยิงไปแล้ว 12 ประตูจากการเล่น 11 นัด (ทุกรายการ) ทำให้ตอนนี้ในบรรดาสี่ประสานแนวรุกของทีมเขาคือตัวที่เด่นที่สุดเหนือ ซาดิโอ มาเน, โรแบร์โต เฟียร์มิโน และ ดีโอโก โชตา
หลายคนยกย่องว่าซาลาห์คือนักเตะที่เล่นได้ดีที่สุดในโลกเวลานี้ เหนือเสียยิ่งกว่า โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี, ลิโอเนล เมสซี หรือ โรนัลโด
ดังนั้น นี่คือโอกาสที่เขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นในการดวลกับโรนัลโดแบบตรงไปตรงมา
หัวใจของเกมแดงเดือด
ถึงในภาพรวมแล้วแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะดูไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาที่ดีเหมือนลิเวอร์พูลซึ่งยังไม่แพ้ใครเลยตั้งแต่เปิดฤดูกาล แต่นี่แหละคือสิ่งที่เป็นเสน่ห์ที่สุดของเกมแดงเดือด
เพราะการเผชิญหน้ากันของคู่ปรับแห่งถนนสาย M62 คือการเป็นเกมที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลใดๆ
บ่อยครั้งที่ฟอร์มการเล่นไม่เกี่ยว เพราะใส่กันด้วยหัวใจเพียวๆ เท่านั้น
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตในยุค 60 ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดครองความยิ่งใหญ่, ในยุค 70-80 ที่ลิเวอร์พูลสยายปีกปกคลุมทั่วยุโรป และนับตั้งแต่เข้ายุคพรีเมียร์ลีกในปี 1992 เป็นต้นมาที่ปีศาจแดงแซงหน้าคู่ปรับสู่การเป็นทีมที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดเป็นอันดับ 1
ต่อให้อีกฝ่ายจะย่ำแย่แค่ไหน แต่นี่คือศึกแห่งศักดิ์ศรีที่จะยอมกันไม่ได้เด็ดขาด
โดยเฉพาะนี่จะเป็นครั้งแรกที่ศึกแดงเดือดจะกลับมาลงแข่งขันโดยมีแฟนบอลในสนามอีกครั้งหลังจากครั้งสุดท้ายที่ลิเวอร์พูลเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ 2-0 ในช่วงต้นปี 2020 (ครั้งแรกที่แฟนเดอะ ค็อป ร้องเพลง We’re gonna win the league)
ศักดิ์ศรีของสโมสรและความรู้สึกของแฟนบอลที่จะไม่มีวันยอมก้มหัวให้แก่คู่อริ นี่แหละคือหัวใจของศึกแดงเดือด
ไม่มีคำว่ายอมความ มีแต่หักกันไปข้างหนึ่ง