×

แมนฯ ยู vs ลิเวอร์พูล ยินดีต้อนรับการกลับมาของเกม ‘แดงเดือด’ (แท้ๆ)

23.02.2019
  • LOADING...
liverpool manchester united

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ที่อังกฤษเองเรียกขานเกมนี้แบบง่ายๆ ว่าเป็น North West Derby หรือเกมดาร์บีแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือตามภูมิภาคที่ตั้งของทั้งสองสโมสรนี้ แต่ก็มีบ้างที่จะเรียกว่าเป็น The Bloody Red Rivalry ที่ดูดุดันขึ้น
  • เกมนัดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของผลการแข่งขันในสนาม หากแต่มีเรื่องของประวัติศาสตร์ ความแค้น ความเจ็บปวดระหว่างชาวเมืองทั้งสองที่ไม่อาจจะรักกันได้ โดยต้นกำเนิดเมล็ดพันธุ์ของความเกลียดชังนั้นสามารถสืบค้นย้อนกลับไปได้ถึงในยุควิกตอเรีย ในช่วงแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (1750-1850) กันเลยทีเดียว
  • เกม ‘แดงเดือด’ ที่เราเคยรักนั้นคล้ายจะสาบสูญไปสักพักใหญ่ครับ น้อยครั้งมากที่จะเดือดสมชื่อ แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศคืนวันเก่าๆ กำลังจะกลับมา
  • ฟากฝั่งลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะเพื่อเป็นการจุดประกายที่สำคัญในการเดินหน้าสู่แชมป์ ฝั่งยูไนเต็ดอยากล้างแค้นและ ‘ดับฝัน’ คู่แข่งตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ให้ได้

คิดไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลกนิดๆ นะครับที่เราต่างเรียกขานเกมนัดนี้ว่า ‘แดงเดือด’ ทั้งที่เอาเข้าจริงในจุดกำเนิดของลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาไม่ได้มีสีแดงเป็นสีประจำของสโมสรด้วยซ้ำไป

 

ชุดแข่งแรกของลิเวอร์พูลเป็นเสื้อสีฟ้าและขาวอย่างละครึ่ง ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ‘นิวตัน ฮีธ’ ก็ใช้เสื้อแข่งสีขาวกางเกงสีกรมท่าเป็นสีชุดแรก

 

กว่าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะใช้เสื้อแข่งสีแดงล้วน กางเกงขาว และถุงเท้าดำแบบที่เห็นชินตาในปัจจุบันก็ต้องรอจนถึงปี 1902 โดยระหว่างทางมีการเปลี่ยนแปลงสีสันชุดแข่งบ้าง แต่ก็ยึดชุดแข่งนี้เป็นหลัก และเพิ่งจะมีการเปลี่ยนชุดแข่งเป็นเสื้อแดง กางเกงดำแบบทางการเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

 

ส่วนลิเวอร์พูล พวกเขาเริ่มใช้ชุดแข่งสีแดงครั้งแรกเมื่อปี 1896 โดยสวมกางเกงสีขาวมาตลอด ส่วนถุงเท้ามีทั้งแดง ดำ ดำขลิบแดง ลายขวางสีแดงขาว สีขาวขลิบแดง ก่อนที่ บิลล์ แชงคลีย์ มหาบุรุษแห่งแอนฟิลด์จะสั่งให้มีการเปลี่ยนชุดแข่งเป็นสีแดงล้วนแบบที่เห็นทุกวันนี้ในปี 1964 ด้วยเหตุผลเรื่องทางจิตวิทยา เพราะสีแดงเป็นสีที่ดูอันตรายและมีพลัง และกลายเป็นตำนาน ‘หงส์แดงตะแคงฟ้า’ ในเวลาต่อมา

 

ที่อังกฤษเองเรียกขานเกมนี้แบบง่ายๆ ว่าเป็น North West Derby หรือเกมดาร์บีแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือตามภูมิภาคที่ตั้งของทั้งสองสโมสรนี้ แต่ก็มีบ้างที่จะเรียกว่าเป็น The Bloody Red Rivalry ที่ดูดุดันขึ้น

 

แต่ไม่ว่าจะเรียกขานอย่างไรก็ตาม การพบกันระหว่าง 2 ทีมจากเมืองที่มีระยะทางห่างกันเพียง 35 ไมล์ (56 กิโลเมตร) นี้ก็เป็นเกมที่ได้รับการพูดถึงมาโดยตลอดว่าเป็นเกมของคู่ปรับตลอดกาลที่ไม่มีวันจะยอมความกันง่ายๆ

 

เกมนัดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของผลการแข่งขันในสนามครับ หากแต่มีเรื่องของประวัติศาสตร์ ความแค้น ความเจ็บปวดระหว่างชาวเมืองทั้งสองที่ไม่อาจจะรักกันได้ โดยต้นกำเนิดเมล็ดพันธุ์ของความเกลียดชังนั้นสามารถสืบค้นย้อนกลับไปได้ถึงในยุควิกตอเรีย ในช่วงแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (1750-1850) กันเลยทีเดียว

 

ความชิงชังนั้นมาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ช่วงที่ ลิเวอร์พูลแซงหน้าขึ้นเป็นทีมอันดับหนึ่งของอังกฤษในช่วงปี 70s-80s ซึ่งเป็นช่วงที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผ่านช่วงเวลาของความยิ่งใหญ่ (รวมถึงความเจ็บปวดจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิก) ในฐานะสโมสรแรกของอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปียนส์คัพ มาครองได้ในปี 1968

 

liverpool manchester united

 

ก่อนที่เรื่องราวจะกลับตาลปัตรนับตั้งแต่ที่ ‘ปีศาจแดง’ ได้เซอร์อเล็กซ์​ เฟอร์กูสัน มากอบกู้สโมสรและทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อด้วยการกวาดแชมป์ลีกสูงสุดถึง 13 สมัย ใน 26 ฤดูกาลที่ทำหน้าที่ จนแซงหน้าลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ

 

ในช่วงระยะเวลาระหว่างนี้ ไม่ว่าจะพบกันที่ใด จะแอนฟิลด์หรือโอลด์แทรฟฟอร์ด เรามักจะได้เห็นเกมการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน เข้มข้น และมีเกมในความทรงจำที่ตราตรึงใจมากมาย เช่น ในวันที่ลิเวอร์พูลไล่ตามจาก 0-3 กลับมาเสมอ 3-3 ได้ที่แอนฟิลด์ เมื่อปี 1993 หรือในปี 1995 ที่ เอริก คันโตนา ประกาศศักดาการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่หลังต้องโทษแบนนานถึง 9 เดือนจากคดี ‘กังฟูคิก’ ด้วยการเหมาทำคนเดียว 2 ประตูให้ทีมรักษาหน้าที่โอลด์แทรฟฟอร์ดได้สำเร็จ

 

มันเป็นเกมที่ถูกกล่าวขานว่าตารางอันดับคะแนน หรือฟอร์มการเล่นไม่มีผลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสนาม ทุกอย่างจะถูกกำหนดจากหัวจิตหัวใจของนักเตะที่ลงไปสู้กันใน 90 นาทีเท่านั้น

 

อย่างไรก็ดี เกม ‘แดงเดือด’ ที่เราเคยรักนั้นคล้ายจะสาบสูญไปสักพักใหญ่ครับ น้อยครั้งมากที่จะเดือดสมชื่อ

 

บ่อยครั้งที่อย่าว่าแต่กองเชียร์ที่เป็นกลางเลย จะเป็นเดอะ ค็อป หรือเรด อาร์มี ก็รู้สึกว่าบางครั้งสู้กันได้ไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไรนัก

 

เหตุผลที่ทำให้เกมนั้นแดงแต่ไม่เดือดเกิดจากหลายสาเหตุครับ หลักๆ คือเรื่องของสถานการณ์ระหว่างทั้งสองทีมที่ไม่ชวนให้เกิดความรู้สึกอยากจะตีกันมากนักเพราะเจ็บและช้ำกันทั้งคู่ หรือบางครั้งทีมหนึ่งก็ดีเกินกว่าที่อีกทีมจะสู้ไหว

 

การที่ไม่มีนักฟุตบอลที่เป็นสายเลือดของสโมสร หรือนักฟุตบอลหัวใจนักสู้ที่เป็นแกนหลักในทีมมากเหมือนสมัยก่อนก็มีส่วน ซึ่งเป็นผลพวงของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง

 

จากแดงเดือดก็กลายเป็นแดงอุ่น แดงอ่อน แดงระเรื่อ หรือแดงชาด (ชื่อสีไทย) ไปอย่างน่าเสียดายและเสียใจ

 

แต่ไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกเหมือนกันไหมนะครับว่าแดงเดือดซึ่งจะพบกันในวันอาทิตย์นี้ (24 ก.พ. 62) ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ดูเหมือนว่าบรรยากาศคืนวันเก่าๆ กำลังจะกลับมา

 

การข่มขวัญ การบลัฟ เกทับ ระหว่างแฟนบอลเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสีสันที่ขาดหาย เพราะหลายปีที่ผ่านมาจะทับถมกันให้สนุกปาก (แต่ไม่สนับสนุนให้เกรียนจัดจนลืมคำว่าน้ำใจนักกีฬานะ) นั้นหายไป เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเจ็บปวดกับผลงานของทีมอยู่แล้วจนบางทีก็ลืมความเกลียดชังและหันมาเห็นใจกันก็มี

 

เหตุผลที่บรรยากาศเก่าๆ กำลังกลับมา เกิดจากการที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้งหลังได้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามากอบกู้ทีมที่กำลังดำดิ่งลงหุบเหวที่แสนมืดมิดในยุคของ โฆเซ มูรินโญ ด้วยผลงานการลงสนาม 13 นัด ชนะ 11 เสมอ 1 และแพ้แค่เกมเดียวต่อ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งอยู่ในระดับที่เหนือกว่า

 

liverpool manchester united

 

ยูไนเต็ด กลับมาเป็นตัวของตัวเองและเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งภายใต้การนำของกุนซือผู้เคยเป็นตำนานซูเปอร์ซับของสโมสร ฟุตบอลเกมรุกที่ไหลลื่นที่เคยหายไปนับตั้งแต่สิ้นยุคการปกครองของเฟอร์กีเริ่มกลับมา

 

ขณะที่นักเตะในทีมหลายๆ คนที่เคยถูกมูรินโญทำให้รู้สึกไร้ค่าก็กลับมาค้นพบคุณค่าของตัวเองอีกครั้ง และดูเหมือนว่าคุณค่าที่แท้จริงของพวกเขานั้นสูงเกินกว่าที่หลายคนประเมินเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น พอล ป็อกบา, อ็องโตนี มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อังเดร เอร์เรรา หรือแม้แต่ วิกเตอร์ ลินเดอเลิฟ

 

liverpool manchester united

 

ลมหายใจของปีศาจที่กลับมา ยังช่วยทำให้ความมีชีวิตชีวาของเกมฟุตบอลอังกฤษกลับมาด้วย

 

ขณะที่ฝ่ายลิเวอร์พูล พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางครั้งสำคัญ กับภารกิจในการพิชิตแชมป์ลีกสูงสุดให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปี ระยะเวลาที่นานอย่างเหลือเชื่อเมื่อคิดถึงยุคสมัยที่พวกเขากวาดแชมป์เป็นว่าเล่นเมื่อราว 30-40 ปีที่แล้ว

 

ถึงจะสะดุดบ่อยครั้งในช่วงหลัง แต่สถานการณ์ยังพอบอกได้ว่าทุกอย่างยังอยู่ในมือของพวกเขาเอง และภายใต้การนำของ เจอร์เกน คล็อปป์ เหล่าเดอะ ค็อป มีความ ‘เชื่อ’ ว่าทีมมีโอกาสจะทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้

 

liverpool manchester united

 

ด้วยเหตุนี้การพบกันครั้งนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่งครับ

 

ฟากฝั่งลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะเพื่อเป็นการจุดประกายที่สำคัญในการเดินหน้าสู่แชมป์ที่พวกเขาหมายปอง เพราะสถานการณ์ยามนี้ที่โดนแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โชว์ฟอร์มโหดข่มขวัญแทบทุกสัปดาห์ กำลังใจคือสิ่งที่ทีมของคล็อปป์ต้องการมากไม่แพ้คะแนน

 

ชัยชนะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดสามารถเป็นสปริงบอร์ดอย่างดีให้หงส์แดงกลับมาบินสูงได้อีกครั้ง

 

ขณะที่ฝั่งยูไนเต็ด นอกจากการล้างแค้นสำหรับความปราชัยหมดรูปที่แอนฟิลด์เมื่อปลายปีที่แล้ว พวกเขายังต้องการแต้มเพื่อการลุ้นไปแชมเปียนส์ลีก และเหนืออื่นใดพวกเขาต้องการจะ ‘ดับฝัน’ คู่แข่งตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลให้ได้

 

สำหรับชาวปีศาจแดง ไม่มีอะไรจะสะใจไปกว่านั้นอีกแล้ว

 

ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา พอจะทำให้เชื่อได้ว่าเราน่าจะได้เห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างทีมจากสองเมืองที่ไม่เคยรักกันเลย ในเกมที่จะไม่มีใครยอมใครอย่างแท้จริง

 

อาจฟังดูเหมือนส่งเสริมความรุนแรง แต่สำหรับคนรักฟุตบอลแล้วการได้เห็นเกม ‘แดงเดือด’ กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งเป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ

 

เพราะเกมแบบนี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้หัวใจด้านชา

 

สำหรับกองเชียร์สองฝักสองฝ่าย เตรียมปอด หลอดลม และหัวใจ เอาไว้ให้พร้อม

 

เราจะเดือดไปด้วยกัน รับประกันว่าร้อนแรงกว่าที่ผ่านมาแน่นอน 🙂

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

FYI
  • ชัยชนะเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ที่แอนฟิลด์ เมื่อเดือนธันวาคม เป็นการชนะครั้งแรกในรอบ 9 นัดในพรีเมียร์ลีก และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาลของปีศาจแดง เมื่อมูรินโญถูกไล่ออกหลังจบเกมนัดนี้แค่ 2 วัน
  • พอล ป็อกบา และมาร์คัส แรชฟอร์ด ผนึกกำลังช่วยกันทำได้ถึง 14 ประตูในเกมพรีเมียร์ลีก 9 นัดภายใต้การนำของโซลชา (ชนะ 8 เสมอ 1)
  • ในจำนวน 9 นัด ป็อกบา และแรชฟอร์ด ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงพร้อมกัน 8 นัด และในจำนวน 8 นัดนี้พวกเขาสร้างโอกาสให้กันมากถึง 12 ครั้ง มากกว่าในช่วงที่มูรินโญคุมทีมที่ได้โอกาสลงพร้อมกัน 11 นัด แต่สร้างโอกาสให้กันได้แค่ 2 ครั้ง
  • หากทำประตูได้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด โม​ฮัมเหม็ด ซาลาห์ จะกลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลที่ยิงได้ครบ 50 ประตูเร็วที่สุดภายใน 63 เกม แทนที่ เฟอร์นันโด ตอร์เรส ที่เคยทำได้ 50 ประตูภายใน 72 เกม เมื่อปี 2009
  • นักวิเคราะห์ในวงการฟุตบอลอังกฤษมองว่าถึงแม้อันดับตารางคะแนนทั้งสองทีมจะห่างกันถึง 14 คะแนน แต่ศักยภาพความแตกต่างระหว่างสองทีมนั้นไม่ห่างกันชัดเจนเหมือนในเกมที่แอนฟิลด์แล้ว เพราะโซลชาช่วยปลดปล่อยและยกระดับนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขึ้นมาก ขณะที่ลิเวอร์พูลมีปัญหาการรับมือกับความเครียดและความกดดัน ทำให้เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานในช่วงหลัง

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X