คิดไปแล้วก็เป็นเรื่องน่าแปลกนิดๆ นะครับที่เราต่างเรียกขานเกมนัดนี้ว่า ‘แดงเดือด’ ทั้งที่เอาเข้าจริงในจุดกำเนิดของลิเวอร์พูล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พวกเขาไม่ได้มีสีแดงเป็นสีประจำของสโมสรด้วยซ้ำไป
ชุดแข่งแรกของลิเวอร์พูลเป็นเสื้อสีฟ้าและขาวอย่างละครึ่ง ขณะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ‘นิวตัน ฮีธ’ ก็ใช้เสื้อแข่งสีขาวกางเกงสีกรมท่าเป็นสีชุดแรก
กว่าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะใช้เสื้อแข่งสีแดงล้วน กางเกงขาว และถุงเท้าดำแบบที่เห็นชินตาในปัจจุบันก็ต้องรอจนถึงปี 1902 โดยระหว่างทางมีการเปลี่ยนแปลงสีสันชุดแข่งบ้าง แต่ก็ยึดชุดแข่งนี้เป็นหลัก และเพิ่งจะมีการเปลี่ยนชุดแข่งเป็นเสื้อแดง กางเกงดำแบบทางการเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา
ส่วนลิเวอร์พูล พวกเขาเริ่มใช้ชุดแข่งสีแดงครั้งแรกเมื่อปี 1896 โดยสวมกางเกงสีขาวมาตลอด ส่วนถุงเท้ามีทั้งแดง ดำ ดำขลิบแดง ลายขวางสีแดงขาว สีขาวขลิบแดง ก่อนที่ บิลล์ แชงคลีย์ มหาบุรุษแห่งแอนฟิลด์จะสั่งให้มีการเปลี่ยนชุดแข่งเป็นสีแดงล้วนแบบที่เห็นทุกวันนี้ในปี 1964 ด้วยเหตุผลเรื่องทางจิตวิทยา เพราะสีแดงเป็นสีที่ดูอันตรายและมีพลัง และกลายเป็นตำนาน ‘หงส์แดงตะแคงฟ้า’ ในเวลาต่อมา
ที่อังกฤษเองเรียกขานเกมนี้แบบง่ายๆ ว่าเป็น North West Derby หรือเกมดาร์บีแห่งแดนตะวันตกเฉียงเหนือตามภูมิภาคที่ตั้งของทั้งสองสโมสรนี้ แต่ก็มีบ้างที่จะเรียกว่าเป็น The Bloody Red Rivalry ที่ดูดุดันขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเรียกขานอย่างไรก็ตาม การพบกันระหว่าง 2 ทีมจากเมืองที่มีระยะทางห่างกันเพียง 35 ไมล์ (56 กิโลเมตร) นี้ก็เป็นเกมที่ได้รับการพูดถึงมาโดยตลอดว่าเป็นเกมของคู่ปรับตลอดกาลที่ไม่มีวันจะยอมความกันง่ายๆ
เกมนัดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของผลการแข่งขันในสนามครับ หากแต่มีเรื่องของประวัติศาสตร์ ความแค้น ความเจ็บปวดระหว่างชาวเมืองทั้งสองที่ไม่อาจจะรักกันได้ โดยต้นกำเนิดเมล็ดพันธุ์ของความเกลียดชังนั้นสามารถสืบค้นย้อนกลับไปได้ถึงในยุควิกตอเรีย ในช่วงแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (1750-1850) กันเลยทีเดียว
ความชิงชังนั้นมาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ช่วงที่ ลิเวอร์พูลแซงหน้าขึ้นเป็นทีมอันดับหนึ่งของอังกฤษในช่วงปี 70s-80s ซึ่งเป็นช่วงที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผ่านช่วงเวลาของความยิ่งใหญ่ (รวมถึงความเจ็บปวดจากโศกนาฏกรรมที่มิวนิก) ในฐานะสโมสรแรกของอังกฤษที่คว้าแชมป์ยูโรเปียนส์คัพ มาครองได้ในปี 1968
ก่อนที่เรื่องราวจะกลับตาลปัตรนับตั้งแต่ที่ ‘ปีศาจแดง’ ได้เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มากอบกู้สโมสรและทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่อด้วยการกวาดแชมป์ลีกสูงสุดถึง 13 สมัย ใน 26 ฤดูกาลที่ทำหน้าที่ จนแซงหน้าลิเวอร์พูล เป็นสโมสรที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ
ในช่วงระยะเวลาระหว่างนี้ ไม่ว่าจะพบกันที่ใด จะแอนฟิลด์หรือโอลด์แทรฟฟอร์ด เรามักจะได้เห็นเกมการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่าน เข้มข้น และมีเกมในความทรงจำที่ตราตรึงใจมากมาย เช่น ในวันที่ลิเวอร์พูลไล่ตามจาก 0-3 กลับมาเสมอ 3-3 ได้ที่แอนฟิลด์ เมื่อปี 1993 หรือในปี 1995 ที่ เอริก คันโตนา ประกาศศักดาการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่หลังต้องโทษแบนนานถึง 9 เดือนจากคดี ‘กังฟูคิก’ ด้วยการเหมาทำคนเดียว 2 ประตูให้ทีมรักษาหน้าที่โอลด์แทรฟฟอร์ดได้สำเร็จ
มันเป็นเกมที่ถูกกล่าวขานว่าตารางอันดับคะแนน หรือฟอร์มการเล่นไม่มีผลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสนาม ทุกอย่างจะถูกกำหนดจากหัวจิตหัวใจของนักเตะที่ลงไปสู้กันใน 90 นาทีเท่านั้น
อย่างไรก็ดี เกม ‘แดงเดือด’ ที่เราเคยรักนั้นคล้ายจะสาบสูญไปสักพักใหญ่ครับ น้อยครั้งมากที่จะเดือดสมชื่อ
บ่อยครั้งที่อย่าว่าแต่กองเชียร์ที่เป็นกลางเลย จะเป็นเดอะ ค็อป หรือเรด อาร์มี ก็รู้สึกว่าบางครั้งสู้กันได้ไม่สมศักดิ์ศรีเท่าไรนัก
เหตุผลที่ทำให้เกมนั้นแดงแต่ไม่เดือดเกิดจากหลายสาเหตุครับ หลักๆ คือเรื่องของสถานการณ์ระหว่างทั้งสองทีมที่ไม่ชวนให้เกิดความรู้สึกอยากจะตีกันมากนักเพราะเจ็บและช้ำกันทั้งคู่ หรือบางครั้งทีมหนึ่งก็ดีเกินกว่าที่อีกทีมจะสู้ไหว
การที่ไม่มีนักฟุตบอลที่เป็นสายเลือดของสโมสร หรือนักฟุตบอลหัวใจนักสู้ที่เป็นแกนหลักในทีมมากเหมือนสมัยก่อนก็มีส่วน ซึ่งเป็นผลพวงของยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง
จากแดงเดือดก็กลายเป็นแดงอุ่น แดงอ่อน แดงระเรื่อ หรือแดงชาด (ชื่อสีไทย) ไปอย่างน่าเสียดายและเสียใจ
แต่ไม่แน่ใจว่าจะรู้สึกเหมือนกันไหมนะครับว่าแดงเดือดซึ่งจะพบกันในวันอาทิตย์นี้ (24 ก.พ. 62) ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ดูเหมือนว่าบรรยากาศคืนวันเก่าๆ กำลังจะกลับมา
การข่มขวัญ การบลัฟ เกทับ ระหว่างแฟนบอลเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นสีสันที่ขาดหาย เพราะหลายปีที่ผ่านมาจะทับถมกันให้สนุกปาก (แต่ไม่สนับสนุนให้เกรียนจัดจนลืมคำว่าน้ำใจนักกีฬานะ) นั้นหายไป เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเจ็บปวดกับผลงานของทีมอยู่แล้วจนบางทีก็ลืมความเกลียดชังและหันมาเห็นใจกันก็มี
เหตุผลที่บรรยากาศเก่าๆ กำลังกลับมา เกิดจากการที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มกลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้งหลังได้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เข้ามากอบกู้ทีมที่กำลังดำดิ่งลงหุบเหวที่แสนมืดมิดในยุคของ โฆเซ มูรินโญ ด้วยผลงานการลงสนาม 13 นัด ชนะ 11 เสมอ 1 และแพ้แค่เกมเดียวต่อ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ซึ่งอยู่ในระดับที่เหนือกว่า
ยูไนเต็ด กลับมาเป็นตัวของตัวเองและเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งภายใต้การนำของกุนซือผู้เคยเป็นตำนานซูเปอร์ซับของสโมสร ฟุตบอลเกมรุกที่ไหลลื่นที่เคยหายไปนับตั้งแต่สิ้นยุคการปกครองของเฟอร์กีเริ่มกลับมา
ขณะที่นักเตะในทีมหลายๆ คนที่เคยถูกมูรินโญทำให้รู้สึกไร้ค่าก็กลับมาค้นพบคุณค่าของตัวเองอีกครั้ง และดูเหมือนว่าคุณค่าที่แท้จริงของพวกเขานั้นสูงเกินกว่าที่หลายคนประเมินเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น พอล ป็อกบา, อ็องโตนี มาร์กซิยาล, มาร์คัส แรชฟอร์ด, อังเดร เอร์เรรา หรือแม้แต่ วิกเตอร์ ลินเดอเลิฟ
ลมหายใจของปีศาจที่กลับมา ยังช่วยทำให้ความมีชีวิตชีวาของเกมฟุตบอลอังกฤษกลับมาด้วย
ขณะที่ฝ่ายลิเวอร์พูล พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการเดินทางครั้งสำคัญ กับภารกิจในการพิชิตแชมป์ลีกสูงสุดให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 29 ปี ระยะเวลาที่นานอย่างเหลือเชื่อเมื่อคิดถึงยุคสมัยที่พวกเขากวาดแชมป์เป็นว่าเล่นเมื่อราว 30-40 ปีที่แล้ว
ถึงจะสะดุดบ่อยครั้งในช่วงหลัง แต่สถานการณ์ยังพอบอกได้ว่าทุกอย่างยังอยู่ในมือของพวกเขาเอง และภายใต้การนำของ เจอร์เกน คล็อปป์ เหล่าเดอะ ค็อป มีความ ‘เชื่อ’ ว่าทีมมีโอกาสจะทำความฝันให้กลายเป็นความจริงได้
ด้วยเหตุนี้การพบกันครั้งนี้จึงมีความหมายอย่างยิ่งครับ
ฟากฝั่งลิเวอร์พูลต้องการชัยชนะเพื่อเป็นการจุดประกายที่สำคัญในการเดินหน้าสู่แชมป์ที่พวกเขาหมายปอง เพราะสถานการณ์ยามนี้ที่โดนแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โชว์ฟอร์มโหดข่มขวัญแทบทุกสัปดาห์ กำลังใจคือสิ่งที่ทีมของคล็อปป์ต้องการมากไม่แพ้คะแนน
ชัยชนะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดสามารถเป็นสปริงบอร์ดอย่างดีให้หงส์แดงกลับมาบินสูงได้อีกครั้ง
ขณะที่ฝั่งยูไนเต็ด นอกจากการล้างแค้นสำหรับความปราชัยหมดรูปที่แอนฟิลด์เมื่อปลายปีที่แล้ว พวกเขายังต้องการแต้มเพื่อการลุ้นไปแชมเปียนส์ลีก และเหนืออื่นใดพวกเขาต้องการจะ ‘ดับฝัน’ คู่แข่งตลอดกาลอย่างลิเวอร์พูลให้ได้
สำหรับชาวปีศาจแดง ไม่มีอะไรจะสะใจไปกว่านั้นอีกแล้ว
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา พอจะทำให้เชื่อได้ว่าเราน่าจะได้เห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างทีมจากสองเมืองที่ไม่เคยรักกันเลย ในเกมที่จะไม่มีใครยอมใครอย่างแท้จริง
อาจฟังดูเหมือนส่งเสริมความรุนแรง แต่สำหรับคนรักฟุตบอลแล้วการได้เห็นเกม ‘แดงเดือด’ กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งเป็นเรื่องที่น่ายินดีครับ
เพราะเกมแบบนี้มีความหมายที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้หัวใจด้านชา
สำหรับกองเชียร์สองฝักสองฝ่าย เตรียมปอด หลอดลม และหัวใจ เอาไว้ให้พร้อม
เราจะเดือดไปด้วยกัน รับประกันว่าร้อนแรงกว่าที่ผ่านมาแน่นอน 🙂
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
- ชัยชนะเหนือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 3-1 ที่แอนฟิลด์ เมื่อเดือนธันวาคม เป็นการชนะครั้งแรกในรอบ 9 นัดในพรีเมียร์ลีก และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาลของปีศาจแดง เมื่อมูรินโญถูกไล่ออกหลังจบเกมนัดนี้แค่ 2 วัน
- พอล ป็อกบา และมาร์คัส แรชฟอร์ด ผนึกกำลังช่วยกันทำได้ถึง 14 ประตูในเกมพรีเมียร์ลีก 9 นัดภายใต้การนำของโซลชา (ชนะ 8 เสมอ 1)
- ในจำนวน 9 นัด ป็อกบา และแรชฟอร์ด ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงพร้อมกัน 8 นัด และในจำนวน 8 นัดนี้พวกเขาสร้างโอกาสให้กันมากถึง 12 ครั้ง มากกว่าในช่วงที่มูรินโญคุมทีมที่ได้โอกาสลงพร้อมกัน 11 นัด แต่สร้างโอกาสให้กันได้แค่ 2 ครั้ง
- หากทำประตูได้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ จะกลายเป็นนักเตะลิเวอร์พูลที่ยิงได้ครบ 50 ประตูเร็วที่สุดภายใน 63 เกม แทนที่ เฟอร์นันโด ตอร์เรส ที่เคยทำได้ 50 ประตูภายใน 72 เกม เมื่อปี 2009
- นักวิเคราะห์ในวงการฟุตบอลอังกฤษมองว่าถึงแม้อันดับตารางคะแนนทั้งสองทีมจะห่างกันถึง 14 คะแนน แต่ศักยภาพความแตกต่างระหว่างสองทีมนั้นไม่ห่างกันชัดเจนเหมือนในเกมที่แอนฟิลด์แล้ว เพราะโซลชาช่วยปลดปล่อยและยกระดับนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขึ้นมาก ขณะที่ลิเวอร์พูลมีปัญหาการรับมือกับความเครียดและความกดดัน ทำให้เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานในช่วงหลัง