ทำไม ‘แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด’ ถึงขาดทุนย่อยยับกว่า 300 ล้านปอนด์ ราว 1.2 หมื่นล้านบาท แม้จะสะสมประสบการณ์กีฬามานานก็ไม่ช่วยให้พ้นจากความล้มเหลว
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ขาดทุนรวมมากกว่า 300 ล้านปอนด์ จนกลายเป็นสโมสรที่ขาดทุนมากเป็นอันดับสองในพรีเมียร์ลีกอังกฤษรองจากเชลซี เมื่อมาดูในแง่ของรายได้จากการค้าและการแข่งขันยังอยู่ในระดับที่ดี ส่วนรายได้จากการถ่ายทอดสดลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
นักวิเคราะห์ในวงการฟุตบอล กล่าวว่า จากเดิมแล้วการผ่านเข้าสู่การแข่งขัน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก จะทำรายได้สูงมาก แต่เมื่อเกิดความล้มเหลวก็ยิ่งทำให้สโมสร ขาดทุนเพิ่มอีก 90 ล้านปอนด์ และถ้าไม่สามารถผ่านเข้าสู่การแข่งขันยุโรปในฤดูกาลหน้าก็จะสูญเสียรายได้อีก 80 ล้านปอนด์
จริงๆ แล้วปัญหาเรื่องสถานะการเงินที่ถดถอยไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ถ้าเทียบกับอดีตที่เคยเฟื่องฟูจนถึงวันนี้สโมสรเข้าสู่ช่วงตกต่ำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับตั้งแต่ทศวรรษ 1980
จึงเป็นที่น่าแปลกใจว่า เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มหาเศรษฐีชาวอังกฤษ หรือเจ้าของร่วมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถพลิกฟื้นสโมสรฟุตบอลที่กำลังประสบปัญหาอยู่ได้ เพราะที่ผ่านมาตัวเขารู้วิธีการพลิกฟื้นธุรกิจต่างๆที่กำลังประสบปัญหาให้กลับมาเติบโตและทำกำไรได้อีกครั้ง
ด้วยประสบการณ์ทำงานของ เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ มีส่วนทำให้ครอบครัวเกลเซอร์ สนใจในตัวเขา จนเมื่อปีที่ผ่านมา เซอร์จิม แรตคลิฟฟ์ ได้เข้ามาถือหุ้นร่วมกับสโมสรประมาณ 25% ตัวเขาพยายามปรับโครงสร้างสโมสร ทั้งเลิกจ้างพนักงานบางตำแหน่งและยกเลิกค่าอาหารกลางวันฟรีเพื่อลดค่าใช้จ่าย
นอกจากนี้ยังได้แต่งตั้งผู้จัดการทีมคนใหม่ ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ผลการแข่งขันก็แทบจะไม่ดีขึ้นเลยหรืออาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นโจทย์ใหญ่ไม่น้อย เพราะการฟื้นฟูทีมฟุตบอลนั้นยากและท้าทายกว่าธุรกิจทั่วไป ที่ไม่ใช่แค่การลดต้นทุนองค์กร แต่ยังต้องเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมและยุทธศาสตร์ที่มากกว่าเดิมที่ทำอยู่
สิ่งหนึ่งที่ควรปรับให้เร็วที่สุดคือค่าตัวนักเตะ โดยในช่วงสิบปีที่ผ่านมาสโมสรมีการเซ็นสัญญาคว้านักฟุตบอลมาด้วยค่าตัวที่สูงเกินไป ทำให้สูญเสียเงินหลายสิบล้านปอนด์ต่อปีและหากสังเกตจะเห็นว่านักเตะที่เข้ามาเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีมูลค่าทางการตลาดลดลงทันที สวนทางกับสโมสรคู่แข่งที่เมื่อเซ็นสัญญา แล้วมูลค่าของนักฟุตบอลคนนั้นก็จะเพิ่มขึ้นทันที
ภาพ: rarrarorro / Shutterstock
อ้างอิง: