×

ชนะรวด 21 นัด ไม่แพ้ 28 นัด! วิเคราะห์ ‘แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2.0’ กับการกลับมาเป็นทีมไร้เทียมทานอีกครั้ง

03.03.2021
  • LOADING...
ชนะรวด 21 นัด ไม่แพ้ 28 นัด! วิเคราะห์ ‘แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2.0’ กับการกลับมาเป็นทีมไร้เทียมทานอีกครั้ง

HIGHLIGHTS

8 mins. read
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สยบ วูล์ฟส์ เป็นชัยชนะนัดที่ 21 ติดต่อกัน โดยที่พวกเขาไม่แพ้ใครติดต่อกันมา 28 นัด ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติสูงสุดตลอดกาลของสโมสรที่เคยทำไว้ในช่วงเดือนเมษายน-ธันวาคม 2017
  • จุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างแรกขึ้นเมื่อซิตี้แก้ปัญหาเกมรับด้วยการคว้าตัว รูเบน ดิอาส กองหลังกัปตันทีมจอมแกร่งของเบนฟิกา มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ เป็นนักฟุตบอลค่าตัวสถิติสูงสุดของสโมสร
  • กลุ่มของนักเตะที่เคยทำท่าว่าจะหมดอนาคตกับสโมสรอย่าง จอห์น สโตนส์, อิลคาย กุนโดกัน และ ชูเอา กานเซโล กลับเรียกฟอร์มการเล่นในระดับยอดเยี่ยมได้สมกับที่เคยคาดหวังจากพวกเขา
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้มีโอกาสที่จะลุ้นคว้าถึง 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว ซึ่งยังทำไม่สำเร็จมาก่อน ดีที่สุดคือการคว้าแชมป์ในประเทศ 3 ถ้วยในปีเดียวในฤดูกาล 2017-18

จนถึงนาทีที่ 79 ของเกมพรีเมียร์ลีกที่เอติฮัด สเตเดียม เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมาพลพรรค ‘หมาป่า’ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ยังคงต้านทานทัพ ‘เรือใบสีฟ้า’​ ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างเข้มแข็ง

 

วูล์ฟส์อาจเป็นทีมแรกที่สามารถหยุดสถิติการชนะรวดทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เอาไว้ที่ 20 นัด และทำลายโมเมนตัมของพวกเขาที่โหมแรงเหมือนคลื่นยักษ์ที่พร้อมกวาดทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้สำเร็จ ซึ่งปกติแล้วทีมของ นูโน เอสปิริโต ซานโต ก็มักจะทำได้ดีเสมอยามเจอกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้อยู่แล้ว

 

แต่แล้วในนาทีที่ 80 กาเบรียล เฆซุส ก็ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายให้ซิตี้ขึ้นนำอีกครั้ง 2-1 ต่อด้วย ริยาด มาห์เรซ กับประตูในนาทีที่ 80 และเฆซุสทำประตูที่ 2 ของเขาในเกมนี้อีกครั้งทำให้เกมจบลงด้วยสกอร์ขาดลอยถึง 4-1

 

ชัยชนะครั้งนี้เป็นชัยชนะนัดที่ 15 ติดต่อกันในพรีเมียร์ลีก ทำให้พวกเขาโกยแต้มหนีแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็น 15 คะแนนเต็ม แม้ว่าจะลงแข่งมากกว่า 1 นัดก็ตาม

 

แล้วยังมีสถิติอะไรอีกบ้างที่เกิดขึ้น?

 

  • หากนับรวมทุกรายการนี่คือชัยชนะนัดที่ 21 ติดต่อกัน โดยที่พวกเขาไม่แพ้ใครติดต่อกันมา 28 นัด ซึ่งเทียบเท่ากับสถิติสูงสุดตลอดกาลของสโมสรที่เคยทำไว้ในช่วงเดือนเมษายน-ธันวาคม 2017
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่เคยตกเป็นฝ่ายตามหลังใครในเกมพรีเมียร์ลีก 19 นัดหลังสุด เป็นสถิติที่ดีที่สุดเทียบเท่ากับที่อาร์เซนอลเคยทำไว้ในเดือนธันวาคม 1998 ถึง พฤษภาคม 1999
  • ผลงานเหล่านี้แม้แต่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา เองก็ไม่อยากเชื่อว่าพวกเขาจะทำได้ โดยเฉพาะมันเกิดขึ้นในขวบปีที่ยากลำบากจากสถานการณ์โควิด-19

 

“ในช่วงเวลาเช่นนี้ การไม่แพ้ติดต่อกัน 28 นัด ชนะรวด 21 นัดโดยที่ 15 นัดเป็นเกมในพรีเมียร์ลีกเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อกับช่วงเวลานี้บนโลก”

 

“ลิเวอร์พูลยังคงเป็นแชมป์ พวกเขาครองมงกุฎอยู่ และเราก็ยังมีเกมที่ต้องลงเล่นอีกมากมาย แต่เราก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีในเวลานี้ ผมเองไม่ได้คาดคิดว่าจะอยู่จุดนี้เลยในช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ และสิ่งที่เราต้องทำคือการทำใจให้สงบนิ่ง และลงสนามในแบบที่เราทำในวันนี้”

 

สุดยอดผลงานระดับ ‘ปรากฏการณ์’ นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เป๊ปเสกคาถาอะไรลงไปในทีมหรือเปล่า?

 

รูเบน ดิอาส (ซ้าย) คือการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของสโมสรในรอบหลายปี เพราะสามารถเปลี่ยนแปลงทีมได้ทั้งระบบ

 

รูเบน ดิอาส คือจุดเริ่มต้นของสิ่งดีๆ

ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2018-19 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ขับเคี่ยวกับลิเวอร์พูลอย่างดุเดือดโดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของฤดูกาลที่ต่างฝ่ายต่างไม่มีการลดราวาศอกเก็บชัยชนะรวดครบทุกนัด ก่อนที่สุดท้ายทีมของเป๊ปจะคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างหวุดหวิด ด้วยการมีคะแนนมากกว่าคู่แข่งแค่แต้มเดียว ซึ่งจำใจรับรองแชมป์ทั้งที่ทำได้ถึง 97 แต้ม

 

มาถึงฤดูกาล 2019-20 ลิเวอร์พูลกลับมาใหม่ด้วยความมุ่งมั่นที่จะคว้าแชมป์ให้ได้และนั่นทำให้พวกเขาโกยชัยชนะมากมายจนแทบจะการันตีการคว้าแชมป์ได้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เลยทีเดียว สวนทางกับทีมของเป๊ปที่เกิดอาการเครื่องสะดุด ทีมมีปัญหาอย่างชัดเจน

 

จุดที่ส่งผลกระทบอย่างมากคือการขาด อายเมอริค ลาปอร์ต ปราการหลังคนสำคัญที่บาดเจ็บหนักตั้งแต่ต้นฤดูกาล ทำให้ทีมขาดกองหลังที่ไว้ใจได้ในเกมรับ และในเวลาเดียวกันก็เป็นคนที่มีหน้าที่สำคัญในการช่วยเปิดเกมจากแดนหลัง ทำให้นอกจากเกมรับจะอ่อนแอลง เกมรุกพวกเขาก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน

 

นอกเหนือจากลาปอร์ต พวกเขายังเสีย แว็งซองต์ กอมปานี กัปตันทีมจอมแกร่งที่ตัดสินใจอำลาทีมหลังจากรับใช้สโมสรมายาวนานตั้งแต่ปี 2008 เพื่อกลับบ้านเกิดในฐานะผู้เล่น-โค้ชของทีมอันเดอร์เลชต์ สโมสรเก่า

 

นั่นหมายถึงซิตีไม่มีทั้งตัวรับที่ไว้ใจได้ และเสีย ‘ผู้นำ’ ในสนาม

 

ปัญหานี้ส่งผลให้ฟอร์มการเล่นของซิตี้ไม่สามารถเอาแน่เอานอนได้เลยตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว ลามมาจนถึงในฤดูกาลนี้ซึ่งดูเหมือนทุกอย่างจะยิ่งแย่ลงไปอีก เมื่อ ดาบิด ซิลบา จอมทัพที่อยู่คู่สโมสรมานับทศวรรษตัดสินใจที่จะอำลาทีมกลับบ้านเกิดที่สเปนกับเรอัล โซเซียดัด เช่นกัน ไม่นับการบาดเจ็บของ เซร์คิโอ อเกวโร และ กาเบรียล เฆซุส ที่เจ็บพร้อมหน้าพร้อมตา

 

อย่างไรก็ดี ได้เกิดจุดเปลี่ยนที่สำคัญอย่างแรกขึ้น เมื่อซิตี้แก้ปัญหาเกมรับด้วยการคว้าตัว รูเบน ดิอาส กองหลังกัปตันทีมจอมแกร่งของเบนฟิกามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 65 ล้านปอนด์ เป็นนักฟุตบอลค่าตัวสถิติสูงสุดของสโมสร

 

การมาของกองหลังวัย 23 ปีรายนี้กลายเป็นการเริ่มต้นของสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นตามมา เมื่อปัญหาเกมรับที่เปราะบางค่อยๆ ถูกแก้ไข

 

โดยในเกมพรีเมียร์ลีกนับจากที่ดิอาสย้ายมาเมื่อปลายเดือนกันยายน พวกเขาแพ้แค่เกมเดียวใน 26 นัดในลีก โดยครั้งสุดท้ายที่แพ้คือการพ่ายต่อท็อตแนม ฮอตสเปอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนในเกมนัดที่ 8 ของฤดูกาลด้วยสกอร์ 0-2 ซึ่งเป็นเกมเดียวที่พวกเขาโดนยิงมากกว่า 2 ประตูหลังได้กำแพงเหล็กคนใหม่

 

และใน 26 นัดนี้ซิตี้เสียประตูทั้งหมดแค่ 10 ประตูเท่านั้น เฉลี่ยแล้วเกือบจะเสีย 1 ประตูต่อทุก 2.6 นัดที่ลงสนาม

 

สิ่งที่น่าสนใจคือ ดิอาสไม่ได้เล่นดีแค่คนเดียว แต่ยังมีความสามารถในการที่จะกำกับเกมรับให้เป็นระเบียบได้อย่างดี นอกจากนี้ยังมีความเป็นผู้นำสูง สู้ไม่มีถอย ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบหาไม่ได้ในผู้เล่นเกมรับที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เคยมีมายกเว้นอดีตกัปตันอย่างกอมปานี

 

จุดนี้ช่วยทำให้เกมรับที่เคยเป็นจุดอ่อนกลายเป็นจุดแข็ง และนำไปการช่วยให้เป๊ปสามารถค้นพบคำตอบอื่นๆ ในเวลาต่อมา ซึ่งคล้ายกับลิเวอร์พูลที่เริ่มเปลี่ยนเป็นคนละทีมเมื่อได้ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มาร่วมทีมเมื่อต้นปี 2018

 

ชูเอา กานเซโล ฟูลแบ็กที่ยกระดับตัวเองขี้นมาอย่างมหัศจรรย์ และกลายเป็นนักเตะในแบบของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ที่น่าภูมิใจ

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2.0 ที่ Beyond ยิ่งกว่าเคย

จากการแก้ไขเกมรับด้วยนักเตะชั้นยอดอย่าง รูเบน ดิอาส ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ค่อยๆ กลับมาเป็นระเบียบและกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

 

เริ่มจาก แฟร์นันดินโญ กองกลางจอมเก๋าที่ต้องลงมาช่วยยืนเซ็นเตอร์ฮาล์ฟบ่อยครั้งในช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมาก็ได้โอกาสในการกลับไปยืนเป็นกองกลางตัวรับที่ถนัดอีกครั้ง ซึ่งช่วยให้เกมแดนกลางของซิตี้กลับมาแข็งแกร่งเหมือนหินผา

 

เรียกได้ว่า ‘แกน’ ของทีมกลับมาแกร่งอีกครั้งอย่างน้อยในเกมรับ

 

อย่างไรก็ดี การคืนชีพของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่ได้ขึ้นแค่ปัจจัยแค่นี้ เพียงแต่จุดเริ่มต้นจากแกนทำให้จุดอื่นที่เคยเป็นจุดอ่อนค่อยๆ คลี่คลายตามไปด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มของนักเตะที่เคยทำท่าว่าจะหมดอนาคตกับสโมสรอย่าง จอห์น สโตนส์, อิลคาย กุนโดกัน และ ชูเอา กานเซโล ที่กลับเรียกฟอร์มการเล่นในระดับยอดเยี่ยมได้สมกับที่เคยคาดหวังจากตัวของพวกเขา หรือบางทีอาจจจะเกินกว่าที่คาดหวังก็เป็นได้

 

ในรายของสโตนส์ เดิมเคยหมดอนาคตถึงขั้นเตรียมจะย้ายออกจากทีมแล้ว แต่เมื่อไม่ได้ย้ายออกไปก็รอคอยอย่างอดทนจนได้โอกาสในการลงเล่นคู่กับดิอาส ก็กลายเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่เมื่อทั้งสองเหมือนเกิดมาเพื่อเล่นด้วยกัน ความแข็งแกร่งและการอ่านทางบอลที่ดีของกองหลังชาวโปรตุเกสช่วยเกื้อหนุนกับการเล่นของสโตนส์ ซึ่งเป็นกองหลังเชิงสูงที่มีความเร็วและทักษะการเล่นที่ยอดเยี่ยมได้เป็นอย่างดี

 

เซ็นเตอร์ฮาล์ฟคู่นี้ลงเล่นตัวจริงด้วยกัน 17 นัด เก็บคลีนชีตได้ถึง 12 นัด และเสียไปแค่ 4 ประตูเท่านั้น ซึ่งเป็นสถิติที่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่านี่กลายเป็นจุดแข็งที่สุดของทีมไปแล้ว

 

อีกคนที่กลับมาอย่างยอดเยี่ยมคือกานเซโล แบ็กชาวโปรตุเกสที่เป็นการเซ็นสัญญาที่ล้มเหลวในฤดูกาลที่แล้วและเคยมีข่าวจะย้ายออกจากทีมด้วย แต่สุดท้ายเมื่อยังอยู่กับทีมต่อ ทัศนคติที่เปลี่ยนไปในการอยากจะต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองได้ทำให้เขายกระดับการเล่นของตัวเองขึ้นอย่างมาก

 

จากแบ็กที่เล่นไม่เข้าพวกเลย กานเซโลกลายเป็นแบ็กที่สำคัญอย่างมากต่อระบบการเล่นของเป๊ป ในฐานะ Inverted Full Back ที่สามารถหุบเข้ามาตรงกลางสนามเพื่อขับเคลื่อนทีมได้ในแบบเดียวกับ ฟิลิปป์ ลาห์ม และ โจชัว คิมมิช อดีตลูกทีมที่เป๊ปเคยช่วยยกระดับการเล่นไปอีกขั้นในทีมบาเยิร์น มิวนิก

 

จุดที่กานเซโล อาจจะเหนือกว่าคือรูปร่างที่สูงใหญ่ ความเร็ว และความสามารถในการเปิดเกมได้ด้วยตัวเอง เรียกว่าเป็นเพลย์เมกเกอร์ทางแบ็กขวาที่ดีที่สุดในโลกเวลานี้

 

คนต่อมาที่กลายเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญของซิตี้คือ อิลคาย กุนโดกัน มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมนีที่ค้นพบชีวิตใหม่ในบทบาทใหม่ที่เป๊ปทดลองใช้งานในช่วงที่ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพเริ่มบาดเจ็บ

 

โดยจากเดิมที่เล่นเป็นกองกลางตัวเชื่อมเกมซึ่งร่างกายที่ไม่แข็งแกร่งและเร็วจัดนักของกุนโดกันอาจจะไม่เหมาะกับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกนัก เป๊ปได้ลองปรับตำแหน่งให้เป็นกองกลางตัวรุกที่ยืนสูงขึ้นกว่าเดิม คล้ายกับตำแหน่งของ ดาบิด ซิลบา แต่ไม่จำเป็นต้องลากเลื้อยหรือคอยจ่ายทะลุช่อง

 

เพราะสิ่งที่เป๊ปเห็นในตัวเขาคือความสามารถในการเติมเกมเข้าไปลุ้นทำประตูในเขตโทษ และมีเซนส์ของการทำประตูที่ดี และนั่นคือหน้าที่ใหม่ของกุนโดกันในการคอยหาโอกาสขึ้นไปส่องประตู และเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยมมากถึงขั้นมีส่วนสำคัญในการเป็นจุดเปลี่ยนเกมรุกของทีมที่มีปัญหา

 

ย้อนกลับไปในช่วง 12 นัดแรก ซิตี้เสมอถีง 5 นัด (แพ้ 2 ชนะ 5) ซึ่งแม้เกมรับจะถูกขันแน่นแต่เกมรุกก็ขาดความลงตัว และเล่นไม่เหมือนทีมของเป๊ปเลย แต่เมื่อกุนโดกันได้ลองตำแหน่งใหม่เขาก็ช่วยแก้ปัญหาให้ทีมได้อย่างยอดเยี่ยม และทำให้ทีมเก็บชัยชนะรวดนับตั้งแต่เกมที่ 13 กับเซาแธมป์ตันเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน

 

คนต่อมาที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ ฟิล โฟเดน เจ้าหนูอัจฉริยะที่แม้จะได้รับการยกย่องอย่างมากมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ยังไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่นระดับคีย์แมนของทีมได้

 

แต่ในฤดูกาลนี้โฟเดน แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวไม่ว่าจะได้ลงสนามตำแหน่งใดก็ตาม ด้วยเชิงบอลที่ยอดเยี่ยมระดับฟ้าประทาน ทัศนคติในการเล่นแบบไม่ยอมใครเด็ดขาด และการเล่นที่เติบโตขึ้นตามวัย ซึ่งแม้จะอายุแค่ 20 ปีแต่ก็เล่นได้เหมือนนักเตะที่อายุ 25-26 ปี

 

การแจ้งเกิดของนักเตะที่กลายเป็นดาวเด่นชุดใหม่ของทีมเหล่านี้ และยังมีคนอื่นๆ ที่ทยอยค้นพบฟอร์มเก่งด้วยอย่าง ริยาด มาห์เรซ, ราฮีม สเตอร์ลิง, แบร์นาโด ซิลวา ทำให้ซิตี้กลายเป็นทีมที่ก้าวไปได้ไกลกว่าเดิมมาก เพราะทีมแก้ไขปัญหาเกมรับที่เป็นจุดอ่อน และเพิ่มเติมด้วยเกมรุกที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาซูเปอร์สตาร์อย่างเดอ บรอยน์, อเกวโรแบบเดิมอีกต่อไป

 

เป็นการอัปเกรดของทีมในแบบที่เป๊ปเองก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะออกมาดีขนาดนี้

 

เพียงแต่ในการไม่คาดคิด ทุกอย่างผ่านการคิดมาหมดแล้ว ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่ากุนซือชาวสเปนผู้นี้คือสุดยอดของวงการตัวจริง และก้าวผ่านปมสำคัญในชีวิตที่เคยถูกปรามาสว่าเป๊ปจะคุมทีมได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีเท่านั้น พอตัวเองหมดไฟก็พอดีกับที่ลูกทีมจะหมดไฟและต้องออกจากทีมในที่สุดเหมือนที่บาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิก

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เวอร์ชันอัปเกรด 2.0 อีกนัยหนึ่งก็คือเป๊ปที่อัปเกรดตัวเองด้วยเช่นกัน

 

เรือใบกับโอกาสสร้างประวัติศาสตร์ 4 แชมป์ (จะมีใครหยุดไหวไหม?)

สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีกแม้จะเหลืออีก 11 นัดจนจบฤดูกาลแต่ดูจากแนวโน้มแล้วเป็นไปได้ยากมากที่จะมีใครแซงพวกเขาได้ เพราะต่อให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บชัยชนะเกมในมือได้ พวกเขายังต้องลุ้นให้ทีมของเป๊ปสะดุดรถผ้าป่าคว่ำอีกอย่างน้อย 4 นัดด้วยกันโดยที่ต้องชนะรวดด้วย

 

โดยเกมสำคัญจะอยู่ที่เกม ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี’ ที่จะพบกันในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งหากสมมติซิตี้ชนะ ก็แทบจะเป็นการรูดม่านปิดฉากเรื่องการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเลย สิ่งที่ต้องลุ้นกันสนุกกว่าคือจะมีใครที่จะช่วยหยุดพวกเขาได้บ้างไหม?

 

ใน 11 นัดที่เหลือ ซิตี้มีเกมที่ถือว่าหนักคือเกมดาร์บีกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เกมรับมือเชลซีในบ้าน และเกมรับมือเอฟเวอร์ตัน ซึ่งก็เป็นเกมในบ้านอีกเหมือนกัน นอกนั้นดูแล้วไม่น่าคณามือพวกเขาเท่าไร

 

สำหรับแฟนเรือใบที่น่าลุ้นมากกว่าคือด้วยฟอร์มและความมั่นใจในระดับสูงสุดแบบนี้ ซิตี้มีโอกาสที่จะลุ้นคว้าถึง 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว ซึ่งยังทำไม่สำเร็จมาก่อน ดีที่สุดคือการคว้าแชมป์ในประเทศ 3 ถ้วยในปีเดียวในฤดูกาล 2017-18 

 

ในรายการรองอย่างเอฟเอ คัพ พวกเขาเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายแล้ว ส่วนถ้วยเล็กอย่างลีก คัพก็รอเข้าชิงกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์

 

สำหรับรายการที่เป็นของแสลงและเป็น ‘ตราบาป’ อย่างเดียวของเป๊ปคือยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งวัดฟอร์มในเวลานี้แล้วพวกเขาน่าจะเป็นทีมที่เล่นได้ดีที่สุดในยุโรปเวลานี้ โดยที่คู่แข่งที่พอจะมีลุ้นอย่างเรอัล มาดริด, บาร์เซโลนา, บาเยิร์น มิวนิก, ยูเวนตุส หรือลิเวอร์พูลเองไม่ได้อยู่ในช่วงที่แข็งแกร่งเหมือนก่อน

 

ถ้าว่ากันตามหน้ากระดาษ ณ เข็มนาฬิกาเดินไปนี้ก็ไม่น่าจะมีใครหยุดพวกเขาได้ เพียงแต่ในเกมการแข่งขันจริงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สามารถเปลี่ยนแปลงเกมได้ทันที ตรงนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอ

 

จริงอยู่ที่การสร้างประวัติศาสตร์กวาด 4 แชมป์รวดเดียวเป็นสิ่งที่อาจจะดูยากจะเชื่อว่าจะมีใครทำได้

 

แต่ในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่าด้วยทีมชุดนี้ของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา แล้ว ทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X