มาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอาเซียน กำลังไล่ตามอินโดนีเซียซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ใหญ่อันดับ 1 ของอาเซียน หลังจากเศรษฐกิจแข็งแกร่งทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างคึกคัก หลัง มาเลเซีย ไล่เบียดแซงหน้าไทยขึ้นมาอยู่อันดับ 2 เมื่อไม่นานมานี้ ท่ามกลางภาวะขาลงของยอดขายรถยนต์อินโดนีเซียและไทย
Nikkei Asia รวบรวมข้อมูลยอดขายรถยนต์ระหว่างเดือนเมษายน-มิถุนายน ที่เผยแพร่โดยกลุ่มอุตสาหกรรมใน 5 ประเทศอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม พบว่า ยอดขายของมาเลเซียตามหลังอินโดนีเซียเพียง 8,134 คันเท่านั้น หลังจากในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ในมาเลเซียเพิ่มขึ้น 8% จากปีก่อนเป็น 184,702 คัน โดยจำนวนนี้นำโดยแบรนด์รถยนต์แห่งชาติอย่าง Perodua และ Proton
การเติบโตของยอดขายรถยนต์ในไตรมาสที่ 2 สอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย ซึ่งเร่งตัวขึ้นเป็น 5.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ข้อมูลทางการแสดงให้เห็นว่าการบริโภคเอกชนยังคงแข็งแกร่งท่ามกลางอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำระหว่าง 1.7-2.0% และริงกิตที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ช่วยบรรเทาภาระให้กับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาการซื้อสินค้าราคาแพงอย่างรถยนต์
Proton และ Perodua เป็นแบรนด์ยอดนิยม เนื่องจากมีราคาที่แข่งขันได้ และมีนโยบายจากภาครัฐบาลที่สนับสนุนแบรนด์ระดับชาติ ผ่านมาตรการภาษีนำเข้าที่สูง ภาษีสรรพสามิต และภาษีรถยนต์ต่างประเทศ
โดย Perodua ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องราคาที่จับต้องได้และความน่าเชื่อถือ เนื่องจากได้รับประโยชน์จากการเป็นพันธมิตรกับ Daihatsu และ Toyota ส่งผลให้มีรถรุ่นที่ได้รับบริการหลังการขายที่ดี การบำรุงรักษาที่มีราคาต่ำ และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงที่ประหยัด
ตลาดรถยนต์อาเซียนกำลังอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน?
ตามรายงานของสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์อินโดนีเซีย (GAIKINDO) ยอดขายรถยนต์ในไตรมาสที่ 2 ลดลง 14% จากปีก่อน ซึ่งการลดลงนี้น้อยกว่า 24% ในไตรมาสแรก แต่ยอดขายรายเดือนกลับลดลงเมื่อเทียบเป็นรายปีติดต่อกันเป็นเวลา 13 เดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2023
จงกี ซูจิอาร์โต รองประธานสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์อินโดนีเซีย กล่าวว่า “ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันจึงอยู่ที่ 6.25% และค่าเงินรูเปียห์อินโดนีเซียที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง”
นอกจากนี้รถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะจากจีนกำลังแข่งขันกับรถยนต์ญี่ปุ่นได้มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ซูจิอาร์โตกล่าวว่า “ราคายังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนจากรถยนต์เชื้อเพลิงธรรมดาเป็นรถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับการขาดสถานีชาร์จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางระยะไกล”
ตลาดรถยนต์ของไทยก็อยู่ในช่วงขาลง
ตามรายงานของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พบว่า ยอดขายรถยนต์ในไตรมาสที่ 2 ลดลง 24% จากปีก่อน ซึ่งลดลงต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่ลดลง 25% ขณะที่ยอดขายรายเดือนลดลงต่อเนื่อง 14 เดือนติดต่อกัน หรือตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566
สุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ยอดขายรถยนต์ครึ่งปีแรกลดลง สะท้อนอำนาจซื้อที่อ่อนแอ แม้ว่าการส่งออกยังรักษาโมเมนตัมไว้ได้ โดยอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การบริโภคซบเซา คือธนาคารยังเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อรถยนต์
อ้างอิง:
