วันนี้ (2 ตุลาคม) พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) แถลงความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายออกจากบ้านพักที่บ้านกกกอก ตำบลกกตูม อำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563 ก่อนจะพบว่า เสียชีวิตบนเขาภูเหล็กไฟ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563
พล.ต.อ. สุวัฒน์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการแถลงความคืบหน้าคดีจากการทำงาน 4 เดือน ไม่ใช่การแถลงเพื่อปิดคดี โดยจะเปิดเผยความคืบหน้าเท่าที่พอจะเปิดเผยได้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจเปิดเผยว่า คดีนี้มีสำนวนหน้า 918 หน้า มีการสอบพยานทั้งหมด 384 ปาก มีการนำพยานเข้าสำนวน 120 ปาก พยานผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก ตัวอย่าง DNA บุคคลต้องสงสัย 154 ตัวอย่าง และได้หลักฐานสำคัญในที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น โดยตำรวจใช้อุปกรณ์ที่ล้ำสมัยที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีแค่ 2 เครื่องในภูมิภาคตรวจสอบ พบบุคคลต้องสงสัย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ ถ้ามีหลักฐานพอจะดำเนินการจับกุมผู้ต้องสงสัยทันที
ตำรวจแจงละเอียด น้องชมพู่ไม่สามารถเดินขึ้นเขาไปด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ จากการสืบสวนของตำรวจยืนยันว่า น้องชมพู่ไม่สามารถเดินไปบนเขาภูเหล็กไฟได้ด้วยตนเอง เพราะ
- เป็นเส้นทางที่ยากลำบากมาก มีเนินหินชันกว่า 60 องศา แต่น้องชมพู่ยังไม่สามารถเดินขึ้นบันไดที่บ้านได้ ซึ่งชันเพียง 45 องศา
- มีพลังงานไม่เพียงพอ เพราะกินอาหารเช้า คือ ไข่เจียว 3 คำ น้ำส้ม 1 ขวด
- จากประสบการณ์ของชาวบ้านพบว่า เด็กอายุ 3 ขวบ ไปได้แค่ชั้น 2 ของภูเหล็กไฟ
- จากกรณีศึกษาในอดีต ซึ่งเคยมีคนพลัดหลง และชาวบ้านพบศพได้เร็วกว่ากรณีน้องชมพู่
- ผู้ชำนาญการยืนยัน โดยแพทย์นิติเวชเดินทางขึ้นไปเอง ยืนยันว่า เด็กอายุ 3 ขวบ ไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้ ซึ่งตรงกับข้อมูลของกุมารแพทย์
- สภาพศพเปลือยกาย ซึ่งน้องชมพู่ไม่สามารถถอดเสื้อผ้าเองได้
- พบเส้นผม 36 เส้นของน้องชมพู่เอง เชื่อว่าเกิดจากการตัดของบุคคลอื่น เพราะน้องตัดผมเองไม่ได้
- น้องกลัวสวน กลัวป่า และไม่เคยไปเล่นที่ภูเหล็กไฟ และพ่อแม่ก็ไม่เคยพาไป จึงเชื่อได้ว่ามีผู้พาน้องไป และทำให้น้องถึงแก่ความตาย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
พล.ต.อ. สุวัฒน์ สรุปด้วยว่า ตำรวจมีการตั้งข้อหาพรากผู้เยาว์และกักขังจนถึงแก่ความตาย รวมถึงซ่อนเร้นและอำพรางศพ
แต่ขณะนี้ยังไม่มีพยานหลักฐานพอจะออกหมายจับและดำเนินคดีกับใครได้ แม้จะรวบรวมพยานหลักฐานมา 4 เดือนก็ตาม
โดยวันนี้มีเหตุผลความจำเป็นที่ต้องทำคดีเพิ่มเติมในบางส่วน เพราะฉะนั้นการสืบสวนยังไม่ได้ยุติ และคดีมีอายุความ 20 ปี แม้ว่าตามระเบียบตำรวจ หากไม่สามารถดำเนินคดีได้ภายใน 1 ปี สำนวนต้องส่งให้อัยการ แต่ถ้ามีพยานหลักฐานที่จะดำเนินคดีกับใครได้จะมีอายุความ 20 ปี ขอให้เข้าใจว่าไม่ได้เป็นการเลิกทำคดี แต่จังหวะการทำงานมีผ่อน มีหนัก มีเร็ว ยืนยันว่า ดำเนินตามมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม ขอให้มั่นใจว่าถึงแม้ว่าวันนี้ยังตอบคำถามไม่ได้ว่าใครเป็นคนร้าย แต่วันนี้ยังไม่ยกเลิกความพยายามที่จะดำเนินการ
“เราเชื่อว่าน้องชมพู่ไม่ได้เดินขึ้นไปเอง อาจจะถูกใครบางคนกระทำด้วยวิธีการใดๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เพราะฉะนั้นคนนั้นต้องรับผิดชอบ” พล.ต.อ. สุวัฒน์ กล่าว
ส่วนคำถามว่า ‘ลุงพล’ มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีหรือไม่
พล.ต.อ. สุวัฒน์ กล่าวว่า ตำรวจไม่มีพยานหลักฐานพอที่จะตั้งข้อหาใคร เพราะฉะนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าเราสงสัยหรือไม่สงสัยใคร ส่วนที่ว่าลุงพลเป็นจำเลยสังคม ต้องไปถามคนมอบตำแหน่งนั้นให้ ยืนยัน ตำรวจยังไม่ตั้งข้อหาใคร เพราะฉะนั้นเมื่อยังไม่ตั้งข้อหาก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์
ส่วนประเด็นที่ว่า น้องชมพู่ตายเมื่อไร?
ตำรวจสรุปว่า ช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายไปตัวคือ เวลา 09.11-9.49 น. วันที่ 11 พฤษภาคม 2563
ช่วงเวลาเสียชีวิต แพทย์ประเมินว่า เป็นวันที่ 12 พฤษภาคม เวลา 14.30 น. ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม เวลา 14.30 น. โดยตรวจพิสูจน์จากหนอนที่อยู่ในศพของน้องชมพู่ ในวันที่แพทย์ผ่าชันสูตรในวันที่ 15 พฤษภาคม จึงได้วิเคราะห์ว่าน้องเสียชีวิตอย่างน้อย 3 วัน
นอกจากนี้ผลชันสูตรไม่พบบาดแผลที่จะทำให้เสียชีวิต และไม่พบบาดแผลการล่วงละเมิดทางเพศ และเป็นไปได้สูงที่จะเสียชีวิตด้วยการอดน้ำและอาหาร
ขณะที่การตรวจดีเอ็นเอเส้นผมที่พบในที่เกิดเหตุ ตำรวจยังตรวจไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอ ตรงกับของน้อง แต่ไม่รู้ว่าเป็นของน้องหรือเปล่า เพราะอาจจะเป็นของน้า ของแม่ ของพี่สาว ของป้า หรือ ‘สายแม่’ ได้ทั้งหมด
“ถึงวันนี้บอกแล้วว่า ไมโทคอนเดรียดีเอ็นเอเป็นแนวทางที่ตรงกับสายแม่ ซึ่งไม่ได้แปลว่าเจ้าของเส้นผมที่อยู่ตรงนั้นจะเป็นผู้ร้าย แต่เขาต้องตอบคำถามเราว่าเส้นผมเขาไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร”
พล.ต.อ. สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้วางหลักการสืบสวน ดังนี้
- วัน เวลา ที่เด็กหาย คนที่กระทำก็ควรจะอยู่ตรงนั้น ซึ่งต้องดูว่ามีใครเข้าสู่ตรงนั้นได้บ้าง กี่คน
- ข้อเท็จจริงจากการพูดคุยกับญาติ พ่อแม่ พี่สาว ได้ความว่า ปกติน้องไม่ยอมให้ใครอุ้ม และไม่ยอมไปไหนกับใครที่แปลกหน้า ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาว่าจะเชื่อหรือไม่ แต่ถ้าเชื่อก็แปลว่าคนที่พาน้องไปต้องสนิทหรือรู้จักกับน้องชมพู่ หรือพาไปด้วยการบังคับ หรือทั้งสองอย่างผสมกัน
- คนพาไปต้องรู้จักเส้นทาง เพราะตำแหน่งที่พบไม่ใช่ตำแหน่งปกติที่คนทั่วไปจะเดินทางไป
- แรงจูงใจยังไม่ทราบ มีแรงจูงใจทางเพศมีหรือไม่ทราบ หรือเหตุผลอื่นๆ ก็ต้องไปหาต่อจากการสอบปากคำคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด หรือไม่ใช่เลย เพราะมีหลายเคสที่มีการกระทำของคนที่ไม่อยู่ในความคาดหมายของเราเลย แต่อย่างไรก็ตามต้องหาคนที่ตรงกับ 3 ข้อแรกให้ได้ก่อน
“สุดท้ายเราทำงานจากใกล้ไปหาไกล เราพูดคุย ตรวจค้น และลามไปถึงพื้นที่ใกล้เคียง นำมาสู่ข้อสรุปเบื้องต้นตามที่แถลง”
พล.ต.อ. สุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า จากการทำงาน ตำรวจมีผู้ต้องสงสัยเป็นพิเศษ แต่ยังพูดไม่ได้ โดยคดีนี้ถ้าจะมีความยากก็เพราะมีกระแสต่างๆ ทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ยาก แต่ไม่ได้แปลว่าจะเลิกสืบสวน “ยืนยัน เราไม่เลิกทำคดีนี้”
ภาพ: สติงเกอร์
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล