ในช่วงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (7 เม.ย.) หนึ่งในหุ้นกลุ่ม 7 Magnificent อย่าง Apple ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง หลังราคาหุ้นดิ่งลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ติดกัน หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน เดินหน้าขึ้นกำแพงภาษีขึ้นมาในระดับสูง ทำให้ Apple ปรับตัวลดลงกว่า 19% ในรอบ 3 วัน เสียมูลค่าทางตลาดกว่า 6.38 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 21 ล้านล้านบาท
เนื่องจากว่า Apple เป็นบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษีของ Trump ในครั้งนี้โดยตรง จากการพึ่งพาทั้งในแง่การค้าและการผลิตในประเทศจีนเป็นหลัก ทำให้จะเผชิญกับภาษีในระดับ 54% หากดำเนินธุรกิจแบบเดิมต่อไป และแม้ Apple จะมีโรงงานในประเทศอินเดีย เวียดนาม และ ไทย ก็ตาม แต่ประเทศเหล่านี้ก็โดนภาษีในระดับที่สูงเช่นเดียวกัน
ในบรรดาหุ้นกลุ่ม 7 Magnificent หุ้น Apple, Tesla และ Microsoft เป็นหุ้น 3 ตัวที่ปรับตัวลงในช่วงคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา (7 เม.ย.)
การปรับตัวลงของหุ้นเทคโนโลยีหลายตัวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลงกว่า 10% ภายในเวลา 1 สัปดาห์เท่านั้นเอง
นักวิเคราะห์จึงประเมินว่า Apple อาจต้องเลือก 2 ทาง ระหว่างการขึ้นราคาสินค้า หรือลดราคาสินค้าลง เพื่อชดเชยผลของภาษีดังกล่าว ซึ่งทางนักวิเคราะห์ของ UBS สถาบันการเงินชั้นนำของโลก ชี้ว่า หาก Apple เลือกการขึ้นราคาสินค้า iPhone อาจมีราคาเพิ่มไปอีก 350 ดอลลาร์ หรือประมาณ 11,900 บาท จากราคาปัจจุบันที่ 1,199 ดอลลาร์ หรือประมาณ 41,650 บาท
ซึ่งทาง Tim Long นักวิเคราะห์จาก Barclays คาดหวังให้ Apple เลือกใช้วิธีขึ้นราคาสินค้า เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียอัตรากำไรต่อหุ้นไปราว 15% นอกจากนี้ Apple อาจเลือกบริหารจัดการซัพพลายเชนใหม่ และ เลือกประเทศที่กำแพงภาษีถูกกว่าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ
อ้างอิง: