หนึ่งในฉากที่น่าจะเรียกเสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงหรรษาจากคนดูซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Mad Unicorn ผลงานกำกับโดย ณฐพล บุญประกอบ (2215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว, เอหิปัสสิโก) ซึ่งสตรีมทางช่อง Netflix ตอนนี้อยู่ในอีพี 4 มันเป็นเหตุการณ์ที่ตัวเอกของเรื่อง ผู้ซึ่งภายหลังจากดิ้นรนกระเสือกกระสนปลุกปั้นโปรเจกต์สตาร์ตอัพของเขา อันได้แก่ การส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ด่วน อย่างชนิดเลือดตาแทบกระเด็น ในที่สุด วันที่ ‘ห่านกำลังจะเริ่มไข่ออกมาเป็นทองคำ’ ก็มาถึงสักที
แน่นอนว่านี่คือช่วงเวลาประวัติศาสตร์สำหรับสันติ (ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์ ในบทบาทการแสดงที่น่าจดจำ) ชายหนุ่มผู้ซึ่งต้นทุนชีวิตของเขาก่อนหน้านี้เข้าขั้นติดลบทีเดียว และเขาก็เลือกใช้โอกาสนี้กล่าวปฐมนิเทศสร้างขวัญกำลังใจให้กับเหล่าไรเดอร์ซึ่งประกอบไปด้วยนักบิดมากหน้าหลายตา และสถานการณ์ก็เป็นอย่างที่เจ้าตัวเอ่ยตั้งแต่ประโยคแรก นั่นคือ “วันนี้คือวันออกศึกของพวกเรา” และเห็นได้ชัดว่าแต่ละประโยคที่พรั่งพรูหลังจากนั้นสามารถกระตุ้นเร้าความฮึกเหิมพลุ่งพล่าน และ ‘เกือบทั้งหมด’ แสดงออกราวกับพวกเขาคือนักรบที่พร้อมจะสละชีวิตและเลือดเนื้อในสมรภูมิ เกือบทั้งหมดยกเว้นหนุ่มหน้าเนิร์ดที่สีหน้าบ่งบอกความงุนงงและแสดงออกแบบไม่อยากจะเชื่อในเหตุการณ์เบื้องหน้า และหันไปถามไรเดอร์คนข้างๆ ซึ่งกำลังเมามันในอารมณ์อย่างเต็มที่ทำนองว่า ‘นี่พวกเราเพียงแค่ไปส่งพัสดุกันใช่ไหม’ ข้อความที่ดูเหมือนถูกละไว้และเจ้าตัวไม่ได้พูดก็คือ ทุกคนรอบตัวเขาเป็นห่-อะไรกันและมากไหม
ตามเนื้อผ้า ซีรีส์ความยาว 7 ตอนจบเรื่อง สงคราม ส่งด่วน ก็เป็นอย่างที่ข้อความที่ผู้สร้างเปิดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ซีรีส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการก่อร่างสร้างตัวของบริษัทสตาร์ทอัพแห่งแรกของเมืองไทยที่มีมูลค่าสินทรัพย์เกิน 3 หมื่นล้านบาท หรืออีกนัยหนึ่ง มันบอกเล่าเรื่องเล่าแนว Success Formula หรือ ‘สู้แล้วรวย’ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ‘เส้นกราฟ’ การเล่าเรื่องแนวนี้ก็มีลักษณะขึ้นและลงและขึ้นอีกครั้งที่เป็นสูตรสำเร็จตายตัว
แต่ในแง่ของแท็กติกและกลวิธีการบอกเล่า การต่อสู้ ห้ำหั่น และชิงไหวชิงพริบ ระหว่าง ‘ตัวเอก’ ซึ่งมีสถานะ Underdog หรือหมารองบ่อน กับ ‘ตัวร้าย’ ซึ่งเหนือกว่าทุกประตู ก็ดุเดือดเลือดพล่านราวกับหนังสงคราม ส่วนหนึ่งเพราะเดิมพันของการต่อสู้ขับเคี่ยวเพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ และบางทีนั่นอธิบายว่า ด้วยเหตุผลกลใดฉากข้างต้นถึงถูกนำเสนออย่างให้ความสำคัญราวกับพระเจ้าตากกำลังยกทัพบุกเมืองจันทบุรี
ข้อมูลที่ผู้สร้างบอกกล่าวคนดูผ่านเสียงบรรยายของสันติถึงสาเหตุที่เขาจับพลัดจับผลูกลายเป็นคู่ต่อกรอย่างชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน กับยักษ์ใหญ่ของวงการ อันได้แก่เจ้าสัวคณิน ซึ่งเป็นเจ้าของธุรกิจระดับหมื่นล้าน ก็คือความแค้น และสองอีพีแรกของซีรีส์ก็อธิบายได้อย่างโน้มน้าวชักจูงว่าต้นสายปลายเหตุของความเคียดแค้นและคั่งแค้นมาจากเรื่องอะไร ซึ่งไหนๆ ก็ไหนๆ มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน มันเป็นเรื่องของความอ่อนหัดและไร้เดียงสาในทางธุรกิจของสันติ จนทำให้เขาถูกหักหลังซึ่งๆ หน้า และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเพลิงแค้นฝังหุ่นของเขาที่ลุกโชติช่วงชัชวาล
ไม่ว่าจะอย่างไร น่าสังเกตว่าความขัดแย้งระหว่างตัวละครทั้งสองก็ไม่ได้เป็นแค่เรื่องเงินๆ ทองๆ หรือผลประโยชน์ในทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว หากมันโยงใยอยู่กับความสัมพันธ์ระหองระแหงในแบบพ่อลูกต่างสายเลือดของเจ้าสัวคณินและสันติด้วยเช่นกัน หรือพูดในภาพกว้างกว่านั้น เงื่อนปมของความไม่ลงรอยในแบบพ่อลูกตามที่ปรากฏในซีรีส์เรื่องนี้ก็ชวนสำรวจตรวจสอบทีเดียว
ถ้าจะเท้าความสักเล็กน้อย สิ่งที่ผู้ชมสรุปได้เกี่ยวกับพ่อจริงๆ ของสันติก็คือเขาเลิกรากับแม่ของสันติ และครั้งแรกที่เราเห็นหน้าตัวละครนี้ก็คือตอนที่เขาถูกขอให้มาประกันตัวสันติที่โรงพักจากเหตุทะเลาะวิวาท และวิธีการที่เขาลงไม้ลงมือลูกชายก็ทำให้สรุปเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากบอกว่าทั้งสองไม่เหลือเยื่อใยใดๆ ต่อกัน ยกเว้นประโยคที่สันติพูดถึงพ่อของเขาในแง่มุมชื่นชมให้เสี่ยคณินฟังในเวลาต่อมา ทำนองว่า เขาเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง (“ดูเขาผสมปูนวันเดียวก็ทำได้แบบเซียนเลย”) และยิ่งเวลาผ่านไป คนดูก็ตระหนักได้ว่าสัญชาตญาณเอาตัวรอดเป็นพันธุกรรมที่ถ่ายทอดอยู่ในบุคลิกของสันติด้วยเช่นกัน
แต่ก็นั่นแหละ สันติไม่ได้มีพ่อเพียงคนเดียว และสถานะของเจ้าสัวคณินก็เป็นเหมือนพ่อผู้ให้กำเนิดเขาในโลกธุรกิจด้วยเช่นกัน ฉากหนึ่งในช่วงต้นอีพีสองที่คณินชี้ชวนให้สันติมองทัศนียภาพของกรุงเทพฯ จากห้องประชุมของตึกสูง และเรียกมันว่า ‘อาณาจักรของเรา’ ก็แทบจะเป็นการขีดเส้นใต้ความผูกพันที่แสนพิเศษของคู่พ่อลูกนอกไส้ (ในเชิงเทคนิค ช็อตนี้ถ่ายแบบดอลลี่ซูม ซึ่งให้ภาพแปลกตาทีเดียว กล่าวคือตัวละครขนาดเท่าเดิม แต่ฉากหลังขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น) นั่นยังไม่ต้องเอ่ยถึงประโยคที่สันติหลุดปากกับเคน (พชร จิราธิวัฒน์) ลูกชายตัวจริงอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าเขา “อยากเกิดเป็นลูกเฮียแกฉิบหาย”
แต่จนแล้วจนรอด แง่มุมที่ชวนหมายเหตุก็คือบรรดาตัวละครพ่อในซีรีส์เรื่องนี้ล้วนเป็นต้นตอของความยุ่งยากหรือนำพาให้ลูกๆ (ทั้งนิตินัยและพฤตินัย) ต้องพบเจอกับวิบากกรรมแสนสาหัสทีเดียว
ในกรณีของเสี่ยวหยู (เจนเย่ จีรนรภัทร) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทส่งสินค้าด่วนกับสันติ หนี้สินมหาศาลที่เจ้าตัวต้องตามล้างตามเช็ดก็เป็นผลงานชิ้นโบดำของพ่อของเธอนั่นเอง หรือเคน ลูกเจ้าตัวคณินตัวจริง ไม่ว่าเขาจะพยายามพิสูจน์ตัวเองมากเท่าไร ก็ไม่สามารถก้าวพ้นเงื้อมเงาของพ่อที่ไม่ยอมปล่อยมือและมีอุปนิสัยจอมบงการ นั่นรวมถึงรายละเอียดปลีกย่อย อย่างเช่น การเลือกรูปสำหรับแขวนในห้องประชุม
กล่าวสำหรับสันติ พ่อตัวจริงเป็นคนส่งลูกชายไปเป็นกุลีเหมืองทราย และประโยคที่ตัวละครอาจจะไม่ได้พูด แต่นึกถึงแน่ๆ ก็คือ “นับจากนี้มึงจะเป็นตายร้ายดียังไงก็เรื่องของมึง” ซึ่งนับเป็นพฤติการณ์ที่โหดร้ายจริงๆ ส่วนวิธีการของเจ้าสัวคณิน พ่อในโลกธุรกิจที่กระทำต่อสันติก็พอกัน อันได้แก่ การบดขยี้ให้จมดิน หรืออย่างน้อยก็ทำทุกวิถีทางไม่ให้ตัวละครได้ผุดได้เกิด ซึ่งว่าไปแล้วเหตุผลไม่ได้สลับซับซ้อน มันถูกเฉลยในอีพีสุดท้ายที่อาจสรุปได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลของการเตะตัดขาก็เพราะเจ้าสัวคณินมองเห็นสันติเมื่อไร ก็มองเห็นตัวเองเมื่อนั้น ตัวละครที่สร้างเนื้อสร้างตัวจากความไม่มีอะไรเลย และต้องต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามนานัปการด้วยความยากเย็น โดยปริยาย การปล่อยให้หมอนี่ได้ลืมตาอ้าปากก็ถือเป็นภัยคุกคามต่ออาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของเขาและจำเป็นต้องตัดไฟแต่ต้นลม แม้ว่าลึกๆแล้ว เจ้าสัวคณินจะตระหนักดีว่า “(คนอย่าง) สันติมันไม่ตายง่ายๆ หรอก” (อีพี 4)
อย่างที่กล่าวก่อนหน้า (และถ้าหากสิ่งที่เขียนต่อไปนี้ชี้ช่องให้เห็นตอนจบก็ขออภัย) ซีรีส์เรื่อง สงคราม ส่งด่วน จัดอยู่ในแนว Success Formula หรือบ้างก็เรียก Rags to Riches ซึ่งถูกสร้างออกมานับไม่ถ้วน ที่แน่ๆ ก็ได้แก่หนังเรื่อง Top Secret วัยรุ่นพันล้าน (ซึ่งเป็นผลงานของบริษัทผู้สร้างเดียวกันและตัวเอกของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็เล่นบทสำคัญในซีรีส์เรื่องนี้ด้วย) หรือหนังฮอลลีวูดเรื่อง The Pursuit of Happyness เป็นต้น เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า บั้นปลายของตัวละครจะลงเอยด้วยผลแพ้หรือชนะ กลายเป็นเศรษฐีหรือยาจก จึงอาจไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินคาดเดา แม้ว่าระหว่างทางผู้สร้างซีรีส์จะสมรู้ร่วมคิดกับตัวร้ายของเรื่องในการขัดขวางการเข้าเส้นชัยของตัวละคร เพื่อสร้างภาวะลุ้นระทึกในแทบทุกจังหวะการเล่าเรื่องก็ตาม
ข้อที่ชวนให้ใคร่ครวญจริงๆ ก็คือ ถ้าหากสันติคือภาพในช่วงวัยหนุ่มของเจ้าสัวคณินดังที่กล่าวข้างต้น ในทางกลับกัน เจ้าสัวคณินคือตัวละครที่สันติกำลังจะกลายร่างไปเป็นในภายภาคหน้าใช่หรือไม่
แน่นอนว่าในแง่ของบุคลิกตัวละคร สองคนนี้แตกต่างกันอย่างชนิดฟ้ากับเหว คนหนึ่งติดดิน คลุกคลีตีโมงกับลูกน้องในโกดังส่งของอย่างถึงลูกถึงคน และสะท้อนถึงความเป็นคนจิตใจดีงาม ส่วนอีกคนเลือดเย็น เจ้าเล่ห์เพทุบาย มองเห็นลูกน้องเป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งของสายพานการผลิตของโรงงาน และถ้าใครจะเรียกเขาว่าปีศาจร้ายก็ไม่ใช่เรื่องเกินเลย
แต่ว่ากันตามจริง นั่นก็เป็นเพียงแท็กติกหรือกลวิธีในทางดราม่าที่ช่วยขับเคลื่อนให้ซีรีส์เข้มข้นและจัดจ้านทางอารมณ์ และความเหมือนกันของตัวละครทั้งสองคน อันได้แก่ ตัวละครที่เริ่มจากศูนย์ เต็มเปี่ยมด้วยวิญญาณนักสู้อย่างชนิดหัวชนฝา เป็นนักแสวงหาโอกาสที่ชอบยืนหัวแถว และทำทุกอย่างไม่เลือก (ในกรณีของเจ้าสัวคณินตามที่เจ้าตัวบอกเล่าก็คือ หนังสือพิมพ์ ปูนซีเมนต์ อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม ส่วนของสันติก็คือ กุลีเหมือง นายหน้าขายทราย ไกด์ทัวร์ คนขายหมอนยางพารา ขายห้องพักคอนโด และแน่นอนธุรกิจส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์) ทั้งหมดทั้งมวลก็เหมือนกับจะเชื่อมโยงให้ทั้งสองคนกลายเป็นเหมือนอดีตและอนาคตของกันและกัน และในขณะที่ไม่มีทางรู้ได้ว่าพระเอกของเราจะกลายเป็นลูกไม้ที่หล่นห่างไกลจากลำต้นที่สูงตระหง่านนี้เพียงใด อย่างหนึ่งที่พอสรุปก็คือ มันไม่มีอะไรที่รับประกันได้ว่าเขาจะไม่กลายเป็นเจ้าสัวคณินในเวอร์ชัน 2.0
เพราะจนแล้วจนรอด ถ้าหากจะอ้างสำนวนฝรั่งสักหน่อย ความสำเร็จก็เหมือนกับการทอดไข่เจียว และคนเราจะทอดไข่เจียวโดยไม่ตอกไข่ให้แตกไม่ได้โดยปริยาย ขณะที่อาณาจักรของเจ้าสัวคณินเป็นผลพวงจากการตอกไข่ให้แตกจำนวนมากมายเพียงใด อาณาจักรธุรกิจของสันติที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่น่าจะเป็นข้อยกเว้นเช่นกัน
นั่นทำให้ในขณะที่ซีรีส์เรื่องนี้ชักชวนคนดูร่วมเฉลิมฉลองความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของม้ายูนิคอร์นที่แสนบ้าคลั่งตามชื่อเรื่อง และปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้สร้างเล่าเรื่องได้เก่งกาจมากๆ ลูกล่อลูกชนแพรวพราว จังหวะขึ้นลงเปรียบได้กับการนั่งรถไฟเหาะตีลังกา
หากทว่าโลกของเทพนิยายกับโลกความเป็นจริงก็มักจะเป็นคนละเรื่องกัน
สงคราม ส่งด่วน (พ.ศ. 2568)
ผู้กำกับ: ณฐพล บุญประกอบ
นักแสดง: ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์, เจนเย่ จีรนรภัทร, ดร.พลัง โลกศิลป์, ธเนศ วรากุลนุเคราะห์ ฯลฯ