×

เอลกลาซิโก, หลุยส์ ฟิโก และหัวหมูน้อยที่มุมธง

11.05.2025
  • LOADING...
หลุยส์ ฟิโก

ท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานบนคราบเลือดเนื้อ รอยยิ้มและน้ำตาระหว่างบาร์เซโลนากับเรอัล มาดริด ในนามของมหาสงครามลูกหนัง ‘เอลกลาซิโก’

 

ไม่มีช่วงเวลาใดที่ความเกลียดชังระหว่างบาร์เซโลนิสตา กับมาดริดิสตาจะรุนแรงมากเท่ากับในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสู่สหัสวรรษใหม่

 

กับเรื่องราวการเจรจาย้ายทีมที่ไม่มีใครอยากเชื่อ ที่นำไปสู่หนึ่งในเหตุการณ์เล็กๆ ในสนามแต่ถูกบันทึกเอาไว้ในฐานะ ‘สัญญะ’ ของความรู้สึกที่มากกว่าแค่ความชิงชัง

 

ความแค้นที่ถูกแปรรูปมาเป็น ‘หัวหมู’

 

เป็นของขวัญต้อนรับคนเคยรักอย่าง หลุยส์ ฟิโก ผู้ทรยศความรู้สึกของแฟนบาร์เซโลนาทุกคน

 

ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอลที่เรียกว่า ‘เอลกลาซิโก’ (El Clasico) หรือในชื่อที่คนยุคก่อนเรียกขานกันมายาวนานว่า ‘เอล ดาร์บี’ (El Derbi) เป็นเรื่องราวที่ยืนยาวมาเกือบ 80 ปี

 

การพบกันครั้งแรกในประวัติศาสตร์ระหว่างบาร์เซโลนา และเรอัล มาดริด เกิดขึ้นในปี 1949 ก่อนที่จะขับเคี่ยวกันมาอย่างยาวนานนับจากนั้น ในความหมายที่มากกว่าแค่เกมฟุตบอล

 

นั่นเพราะฟุตบอลคู่นี้ไม่ใช่เรื่องของสโมสรฟุตบอลแค่สองแห่ง หรือชาวเมืองเพียงแค่สองเมือง แต่หมายถึงการต่อสู้กันระหว่างรัฐต่อรัฐ แคว้นคาตาลันกับรัฐบาลกลางมาดริด โดยเฉพาะในยุคสมัยของนายพลฟรังโกผู้โหดร้าย

 

เอล ดาร์บี ที่ในเวลาต่อมาถูกเปลี่ยนชื่อตามยุคสมัยเพื่อผลทางการตลาดว่า เอลกลาซิโก จึงเป็นเหมือนสงครามตัวแทนระหว่างสองฝ่าย

 

เรื่องราวมากมายเกิดขึ้น และบางเรื่องโหดร้ายในความรู้สึก

 

แต่หนึ่งในเรื่องราวที่ถูกจดจำมากที่สุดในยุคสมัยใหม่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการพบกันระหว่างบาร์ซาและมาดริดที่สนามคัมป์นู เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2002

 

ความจริงเกมในวันนั้นไม่ได้เป็นเกมฟุตบอลที่สนุกสนานอะไรมากมายนัก ในทางตรงกันข้ามฟอร์มการเล่นของทั้งบาร์ซาและมาดริดต่างก็อยู่ในขั้นย่ำแย่

 

โดยเฉพาะฝ่ายหลังที่สถานการณ์กำลังกดดันหนัก อนาคตของบิเซนเต เดล บอสเก บอสใหญ่ของทีมถูกแขวนเอาไว้บนเส้นด้าย

 

แต่ฟอร์มการแข่งขันหรือตารางคะแนนใดๆ ไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยสำหรับชาวอาซูลกรานา

 

สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจมีเพียง หลุยส์ ฟิโก

 

แค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น

 

 

บิดเข็มนาฬิกาย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น 3 ปี หลุยส์ ฟิโก คือคนที่แฟนบาร์เซโลนารักมากที่สุด

 

ปีกพรสวรรค์ชาวโปรตุเกส คือซูเปอร์สตาร์หมายเลขหนึ่งของทีมที่เรียกว่าเคยมีการทำแบบสำรวจความเห็นของแฟนๆ บาร์ซาแล้ว ฟิโกคือนักเตะขวัญใจเบอร์หนึ่งของทีมที่อยู่เหนือกว่า โจเซพ กวาร์ดิโอลา (ที่ต่อมาทุกคนเรียกเขาว่า ‘เป๊ป’) ซึ่งเป็นนักเตะท้องถิ่นสายเลือดแท้ของลามาเซียด้วยซ้ำไป

 

แต่อาจเป็นเพราะผลงานและความนิยม ฟิโกและตัวแทนของเขาอาจเกิดย่ามใจขึ้นมา

 

เขาต้องการสัญญาฉบับใหม่ที่จะทำให้ได้รับค่าตอบแทนมหาศาลยิ่งกว่าเดิมที่เคยได้รับอยู่ โดยอาศัยช่วงของการเลือกตั้งตำแหน่งประธานสโมสรบาร์ซา ซึ่งขณะนั้นเป็นยุคสมัยของ โจเซพ หลุยส์ นูเนส ที่กำลังจะครบวาระ เพื่อเจรจาต่อรอง

 

สิ่งที่ฟิโกไม่ได้คาดคิดคือเขาได้กลายเป็นเครื่องมือในการเลือกตั้งของเหล่านักการเมืองลูกหนัง

 

และไม่ใช่เฉพาะการเลือกตั้งตำแหน่งประธานบาร์ซา แต่ข้ามไปถึงสโมสรคู่แข่งอย่างเรอัล มาดริดด้วย

 

โฮเซ เวทกา นายหน้าของฟิโก พยายามต่อรองกับประธานนูเนส ผู้ซึ่งพยายามประกาศจุดยืนชัดว่าจะไม่มีการยื่นข้อเสนอสัญญาอย่างงามใดๆ ให้กับสตาร์ของทีมคนใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นฟิโก หรือริวัลโด

 

โดยที่หลังฉากแล้วฝั่งฟิโกได้รับการติดต่อที่ไม่คาดคิดจากฟลอเรนติโน เปเรซ นักธุรกิจผู้ลงสมัครเพื่อชิงตำแหน่งประธานสโมสรเรอัล มาดริดด้วย

 

พวกเขาพบและพูดคุยกับเปเรซ เพียงเพื่อหวังจะใช้เรื่องนี้กดดันไม่ใช่เฉพาะนูเนส แต่รวมถึงผู้ลงสมัครเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานสโมสรคนอื่นอย่าง โจน กาสปาร์ต และหลุยส์ บาสซาต ให้ยอมยื่นข้อเสนอใหม่ที่พวกเขาต้องการ

 

“ฟังนะ เราได้ข้อเสนอมาจากเปเรซ แต่ถ้าพวกคุณยอมให้เงินเพิ่มฟิโกก็จะไม่ไปไหน”

 

 

สิ่งที่ฟิโกและเวกา ไม่ได้คาดคิดคือพวกเขาได้ตกหลุมพรางของเปเรซ ผู้มีเล่ห์เหลี่ยมเหนือกว่าเข้าอย่างจัง

 

การเจรจากันครั้งนั้นมีเดิมพันง่ายๆ กันอยู่

 

เงื่อนไขนั้นคือถ้าหากเปเรซชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานสโมสรเรอัล มาดริด เขาจะยอมจ่ายเงินค่าฉีกสัญญาของฟิโก ซึ่งเป็นเงื่อนไขตามกฎหมายแรงงานของสเปนที่แรงงานทุกคนจะมีเงื่อนไขในการได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระ เพื่อให้เขาย้ายข้ามฟากมาอยู่กับเรอัล มาดริด

 

แน่นอนว่าตัวเลขข้อเสนอค่าเหนื่อยของฟิโกนั้นสูงจนเขายิ่งกว่าพอใจ และนั่นทำให้ทั้งสองยอมตกลงเซ็นสัญญาลับกับเปเรซเอาไว้

 

โดยที่ลึกๆ ในใจพวกเขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า “ก็เซ็นไว้ก่อน ถ้าเปเรซไม่ชนะ ทุกอย่างก็เป็นหมัน”

 

ฟิโก และเวกาไม่ได้คาดคิดว่าเปเรซ จะใช้เรื่องนี้เพื่อจุดกระแสความนิยมในตัวเอง ด้วยนโยบายที่บ้าบิ่นที่สุดที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน ด้วยการประกาศขอคะแนนเสียงจากเหล่ามาดริดิสตา “เลือกผมแล้วเราจะไปตบหน้าบาร์ซาด้วยการกระชากเอาฟิโกมา”

 

เรื่องนี้กลายเป็นกระแสใหญ่ในวงการฟุตบอลสเปน เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะแม้จะไม่ใช่ไม่เคยมีนักเตะย้ายข้ามฟากกันเลยระหว่างสองสโมสร หลุยส์ เอ็นริเก ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่ย้ายจากคัมป์นูไปอยู่ซานติอาโกเบร์นาเบว เช่นเดียวกับ ไมเคิล เลาดรูป ในอดีต (และโรนัลโด ในอนาคต)

 

แต่เรื่องของฟิโกนั้นแตกต่างออกไป มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีระหว่างสโมสรด้วย

 

เรื่องราวนั้นไปกันใหญ่จนทำให้ปีกพรสวรรค์ได้แต่แอบภาวนาขอให้เปเรซ แพ้การเลือกตั้ง เขาจะได้หลุดพ้นจากเรื่องนี้เสียที

 

แต่สุดท้ายเรื่องราวจบลงที่เปเรซ พลิกสถานการณ์การเลือกตั้งได้เป็นประธานสโมสรคนใหม่ของเรอัล มาดริด และนั่นหมายถึงฟิโก ต้องทิ้งเสื้อชุดสีเลือดหมูรวมถึงปลอกแขนกัปตันทีมของเขา และมาสวมเสื้อชุดขาวล้วนแทน

 

เพราะถ้าไม่ย้ายก็ต้องจ่ายเงินชดเชยจำนวนมหาศาลถึง 5 พันล้านเปเซตา (18.75 ล้านปอนด์) ตามเงื่อนไขในดอกจันที่เปเรซใส่เอาไว้โดยที่ฟิโกกับเวกาไม่ได้ใส่ใจในทีแรก และพวกเขาไม่มีปัญญาย้ายแน่นอน

 

 

การย้ายทีมที่อื้อฉาวที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสเปนจึงเกิดขึ้นในฤดูร้อนปี 2000 โดยที่ โจน กาสปาร์ต ซึ่งได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานบาร์ซาไม่สามารถหยุดยั้งการย้ายทีมครั้งนี้ได้

 

ฟิโกเล่าถึงเหตุการณ์ในวันประวัติศาสตร์ว่า เขาได้เดินทางกลับไปที่ลิสบอนหลังจากมีการประกาศผลการเลือกตั้งประธานสโมสรเรอัล มาดริดคนใหม่

 

ในห้องนั้นมีคนอยู่ราว 10 คน ทุกคนพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฟิโกยอมเซ็นสัญญาตามที่ตกลงไป ไม่เช่นนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่เกินไป

 

สุดท้ายฟิโกยอมรับชะตากรรมก่อนจะโทรไปบอกภรรยาว่า “ผมจะไม่กลับไปบาร์เซโลนาอีกแล้ว ผมต้องไปเรอัล มาดริด”

 

แม้ว่าหัวใจของเขาจะไม่เคยอยากย้ายไปจากบาร์ซาเลยก็ตาม

 

แต่ไม่ว่าฟิโกจะรู้สึกเช่นไรในเวลานั้น มันไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่แฟนบอลบาร์ซารู้สึกอย่างไรกับเขา

ความรู้สึกนั้นชัดเจนยิ่งกว่าแก้วคริสตัลและร้อนเร่ายิ่งกว่าลาวาที่ถูกหลอมละลายอยู่ใต้ผิวโลก

 

“จำไว้ ไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติ พวกเราจะไม่มีวันให้อภัยแกอีกต่อไป ไอ้คนทรยศ!”

 

 

บาร์เซโลนิสตา เฝ้ารอการกลับมาของฟิโกด้วยความแค้นมาโดยตลอด โดยที่การกลับมาครั้งแรกเกิดขึ้นในเกมเอล ดาร์บี ที่คัมป์นู เมื่อเดือนตุลาคม 2000

 

เสียงโห่ดังขึ้นตลอดทั้ง 90 นาทีในวันนั้น

 

แต่นั่นอาจไม่เท่ากับความเกลียดชังที่ถูกระเบิดออกมาในการพบกันอีก 2 ปีถัดมา ซึ่งฟิโกพลาดโอกาสในการกลับมาคัมป์นูไป 2 ครั้ง ด้วยอาการบาดเจ็บและต้องโทษแบน (ซึ่งชวนให้คิดว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่)

 

ในเกมระหว่างบาร์ซาและมาดริดที่คัมป์นูในเดือนพฤศจิกายน 2002 ในสถานการณ์ยากลำบากสำหรับทั้งสองทีมที่ประสบปัญหาเรื่องฟอร์มการเล่นทั้งคู่

 

แต่ฟุตบอลในสนามไม่สำคัญเท่ากับการแสดงออกถึงความเกลียดชังที่แฟนบาร์ซาอยากบอกให้ฟิโกรู้

 

บรรยากาศของเกมวันนั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง ในระดับที่แม้แต่โฆษกสนาม มาเนล วิค ผู้ทำหน้าที่นี้ให้กับบาร์ซามาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1956 (เสียชีวิตในปี 2016) ซึ่งปกติแล้วเป็นโฆษกผู้สุภาพอ่อนโยนและสุภาพยังอดไม่ไหว ด้วยการประกาศใช้ช่วงของประกาศรายชื่อผู้เล่นก่อนเกม ซึ่งเมื่อเอ่ยชื่อของฟิโก เขาจงใจเว้นช่วงให้แฟนบอลในคัมป์นูได้โห่ใส่

 

เหตุการณ์จังหวะนั้นอยู่ในรายการฟุตบอล El Dia Despues ซึ่งเป็นรายการไฮไลต์ฟุตบอลทางช่อง Canal+ ได้บันทึกบรรยากาศก่อนเกมไว้ ด้วยการวางไมโครโฟนที่ข้างสนาม

 

ทันทีที่โฆษกประกาศชื่อฟิโกเสร็จ เสียงโห่ของแฟนบอลในสนามดังราวกับเครื่องบินเจ็ตกำลังทะยานฟ้า

 

ตลอดทั้งเกมฟิโก ตกเป็นเป้าของความเกลียดชังจากบาร์เซโลนิสตา ซึ่งไม่ได้มาแค่เสียง แฟนบอลจำนวนมากที่แสดงความรู้สึกผ่านข้าวของมากมายที่ถูกโยนลงมาสู่สนาม

 

 

โดยเฉพาะในช่วงที่ฟิโก ซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบหมายเป็นคนเตะลูกเตะมุมทุกลูกเดินมาที่มุมธง เขาได้รับของขวัญสำหรับคนทรยศมากจนนับไม่ถ้วน (ที่ทำให้ มิเชล ซัลกาโด แบ็กขวาที่ปกติจะเติมขึ้นไปช่วยเผื่อเป็นทางเลือกในการเล่นเตะมุมสั้นถึงกับบอกฟิโกว่าขอไม่ขึ้นมาช่วยนะ ไม่ไหว!)

 

ท่ามกลางสิ่งของมากมายที่ถูกขว้างลงมาอย่างตั้งใจ สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดคือมี ‘หัวหมู’ ถูกขว้างลงมาในสนามด้วย

 

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นขว้างมันลงมา และไม่มีใครรู้ว่าเขาเอาเข้าสนามมาได้อย่างไร

 

แต่หัวหมูนี้คือตัวแทนของความเกลียดชังที่มีต่อคนทรยศ และเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ของเกมเอลกลาซิโก ที่แม้วันนั้นเกมจะจบแบบจืดๆ ด้วยสกอร์ 0-0 เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องอมตะที่ไม่ว่าจะผ่านไปอีกกี่สิบปีก็ยังหยิบมาเล่าถึงใหม่ได้เสมอ

 

ในฐานะเรื่องเล่าเคล้าเกมเอลกลาซิโก

 

โดยไม่จำเป็นต้องมองหากับแกล้มอีกเลย

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising