*บทความนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวภาพยนตร์
ถ้ามีคนถามว่า “ภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้แบบเมนสตรีมเรื่องแรกที่ค่าย 20th Century Fox ลงทุนสร้างเองจะออกมาในรูปแบบไหน” เราก็อาจนึกถึงภาพยนตร์ที่พระเอกในไฮสคูลมีบทพูด “Hey Sis I Love Ya!” “Yassss gurl” อยู่ตลอดเวลา หรือตัวละครอาจจะเปิดตัวด้วยการเดินแบบในฮอลล์โรงเรียนกับเพลง My! My! My! ของ ทรอย ซีวาน เพราะวงการฮอลลีวูดรักในการ Stereotype บทเกย์มาเสมอ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับภาพยนตร์เรื่อง ‘Love, Simon’ คือประโยคเปิดที่สุดแสนจะเบสิกที่ว่า “I’m just like you” หรือที่แปลว่า ‘ผมก็เหมือนคุณ’ และในช่วงเวลา 110 นาทีของหนัง เราได้สัมผัสความอบอุ่นและความรู้สึกที่ว่าหากโลกจะเป็นแบบนั้นได้จริง คงจะวิเศษมากทีเดียว
Love, Simon ดัดแปลงมาจากหนังสือขายดีเรื่อง Simon vs. the Homo Sapiens Agenda ของนักเขียน เบ็กกี้ อัลเบอร์ทัลลิ เล่าถึง ไซมอน สไปเออร์ (แสดงโดย นิค โรบินสัน) เด็กหนุ่มมัธยมปลายวัย 17 ปี เขาเติบโตมาในครอบครัวที่เพอร์เฟกต์และเปลือกนอกดูมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ แต่ในความเป็นจริงแล้วไซมอนรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์และกำลังประสบปัญหาที่จะ Come Out หรือเปิดเผยสถานะตัวเอง
จนวันหนึ่งมีแอ็กเคานต์นามแฝงที่ใช้ชื่อว่า ‘Blue’ ประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์บนเว็บไซต์กอสซิปของโรงเรียนชื่อ Creek Secrets ไซมอนก็รีบสร้างอีเมลใหม่ พร้อมใช้ชื่อนามแฝงว่า ‘Jacques’ และทั้งคู่ก็มีการคุยกันผ่านอีเมลจนตกหลุมรักกันและกัน แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นหลังจาก มาร์ติน (แสดงโดย โลแกน มิลเลอร์) หนุ่มจากดราม่าคลับดันไปใช้คอมพิวเตอร์ในห้องสมุดต่อจากไซมอน โดยที่เขายังไม่ได้ล็อกเอาต์จากแอ็กเคานต์ ‘Jacques’ และพอได้อ่านข้อความทั้งหมดมาร์ตินก็ขู่จะแบล็กเมลหากไซมอนไม่ช่วยเขาไปออกเดตกับแอ็บบี้ (แสดงโดย อเล็กซานดร้า ชิปป์) เพื่อนสนิทของไซมอน
เสน่ห์ของ Love, Simon อยู่ที่ผู้กำกับ เกร็ก เบอร์ลานติ ได้สร้างภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ตามหลักสูตร ‘เบสิก’ ของหมวดนี้ที่ย่อยง่ายและเราคุ้นเคยกันมาโดยตลอด (กลับไปดูภาพยนตร์เก่าๆ ของ จูเลีย โรเบิร์ตส์ ได้) แต่สิ่งเดียวที่แตกต่างคือพระเอกที่ใส่กางเกงยีนส์ เสื้อฮู้ด กระเป๋าเป้ และกำลังมีความรักกับผู้ชายอีกคน เกร็กไม่ได้พยายามจะมาสร้างหนังหมวด LGBTQ+ ที่ต้องละมุนละไม เรียกเสียงฮือฮา หรือมีชั้นเชิงในเนื้อหาที่จะขับเคลื่อนสังคม เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้ต้องการเป็น Call Me By Your Name, Moonlight หรือ Brokeback Mountain เวอร์ชันเด็กไฮสคูลอเมริกัน
หนังเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าการเป็นเกย์คือสิ่งที่ปกติ มาพร้อมความหวังที่สวยงาม และโลกไม่ได้พังทลายหากคุณดันไม่ชอบเพศตรงข้าม ซึ่งเกร็กทำได้ดีเสมอมากับผลงานก่อนๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็นซีรีส์ Dawson’s Creek และ Riverdale ที่เขาเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ หรือภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตที่เขากำกับ The Broken Hearts Club: A Romantic Comedy (เกี่ยวกับความรักของเพื่อนกลุ่มเกย์ในทีมซอฟต์บอลที่ต้องเผชิญกับปัญหาการถูกยอมรับจากสังคมและสู้เพื่อสิทธิตัวเองมาเสมอ) แต่พลังของ Love, Simon กลับอยู่ที่การเป็นจุดเริ่มต้นของหนังค่ายใหญ่ที่คน LGBTQ+ สามารถเป็นพระเอกได้ ไม่ใช่ปรากฏตัวในบทเพื่อนรักนางเอกหรือตัวตลกโปกฮาเพียงอย่างเดียว
ถามว่าทำไม Love, Simon กับบริบทหลักของเรื่องเกี่ยวกับการ Come Out ถึงเวิร์ก ก็ต้องบอกว่าภาพยนตร์ออกมาในช่วงถูกที่ถูกเวลา เพราะถ้าเรื่องนี้ถูกสร้างเมื่อ 20 ปีก่อนก็ลืมไปได้เลยว่าคนจะยอมรับง่ายๆ และฮอลลีวูดอาจพยายามหลีกเลี่ยงการสร้างให้เป็นหนังกระแสหลัก แต่เพราะหกเจ็ดปีที่ผ่านมากับโลกออนไลน์และความก้าวหน้าของสังคม เราเริ่มเห็นตัวอย่างของบุคคลที่เป็นเกย์และประสบความสำเร็จ เช่นบล็อกเกอร์ ไทเลอร์ โอกลีย์ (Tyler Oakley) และ คอนเนอร์ ฟรนตา (Connor Franta) นักร้อง แซม สมิธ (Sam Smith) หรือแม้แต่คลิกเข้าไปในยูทูบก็มีวิดีโอมากมายที่คนมาเล่าถึงประสบการณ์ตัวเองเช่นกระแสแคมเปญ ‘It Gets Better’
Love, Simon อาจเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่กระตุ้นให้คนกล้า Come Out และไม่ต้องรู้สึกเกรงกลัว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Love, Simon ไม่ได้พยายามจะบี้ประเด็นนี้จนเกินไป และสร้างอารมณ์ว่าทุกคนต้อง Come Out โดยมีฉากสำคัญที่ไซมอนพูดกับมาร์ตินตอนโดนเปิดโปงให้ทั้งโรงเรียนรู้ว่าเขาเป็นเกย์ว่า “คนเราควรมีสิทธิ์เลือกที่จะเปิดเผยตัวเองเมื่อพร้อม” นี่เป็นประโยคที่ดีและทำให้เห็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้พยายามจะวาดฝันคอนเซปต์โลกสวยเพอร์เฟกต์อยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเปิดพื้นที่สำหรับความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมในประเทศต่างๆ
แต่ถ้าต้องเลือกสองฉากที่กินใจและจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่าทำไม Love, Simon จะปรับเปลี่ยนทัศนคติของคนได้ ก็ต้องยกให้ตอนไซมอนเข้าไปคุยกับแม่ เอมิลี สไปเออร์ (แสดงโดยเจนนิเฟอร์ การ์เนอร์) และเธอได้บอกกับลูกชายตัวเองว่า “ถึงเวลาที่ลูกจะหายใจได้ทั่วท้องและเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด…ลูกสมควรที่จะได้ทุกอย่างในชีวิตตามที่ตัวเองตั้งเป้าไว้”
ส่วนฉากที่ไซมอนเข้าไปพูดกับคุณพ่อตัวเอง แจ็ค สไปเออร์ (แสดงโดย จอช เดอเมล) เราก็ได้เห็นพ่อที่สูงกว่าหกฟุต หุ่นดี และคงอยากให้ลูกตัวเองติดทีมบาสเกตบอล มาในเวอร์ชันที่เปราะบางและเสียใจที่ปล่อยให้ลูกตัวเองต้องทุกข์ใจกับการปิดบังว่าเป็นเกย์ ฉากนี้ทำให้เรานึกถึง Mr. Perlman พ่อของเอลิโอใน Call Me By Your Name ซึ่งเรารู้สึกดีใจที่ไม่ใช่แค่เด็ก LGBTQ+ จะได้เห็นตัวละครพ่อในรูปแบบนี้ แต่สำหรับคนที่เป็นพ่อเอง เราก็หวังว่าฉากนี้จะช่วยทำให้ได้ไตร่ตรองการดูแลเอาใจใส่ลูกของตัวเองไม่ว่าจะเป็นเพศอะไร รวมทั้งเปิดใจยอมรักถ้าหากลูกตัวเองเลือกที่จะรักใครหรือใช้ชีวิตอย่างไร
ด้านเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมและหลายคนอาจต้องไปตามฟังเพลย์ลิสต์ เพราะได้ แจ็ก แอนโตนอฟฟ์ แห่งวง Bleachers มาดูแลทั้งหมด และหากใครเป็นแฟนอัลบั้ม Melodrama ของ ลอร์ด หรือ Reputation ของ เทย์เลอร์ สวิฟต์ ที่แจ็กเป็นโปรดิวเซอร์หลักของทั้งคู่ ก็จะชอบเพลงประกอบภาพยนตร์ Love, Simon เพราะจะมีพวกเสียงสังเคราะห์ Synthesizer ยุคป๊อป 80s เล่นอยู่ในแบ็กกราวด์หลายฉาก หรือในเพลง Strawberries & Cigarettes ของ ทรอย ซีวาน ที่แต่งขึ้นมาใหม่สำหรับเรื่องนี้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีแนวเพลงอื่นๆ มาแซมด้วยเพื่อเพิ่มมิติ เช่นเพลงอาร์แอนด์บีที่กำลังดังอย่าง Love Lies ของ คาลิด และ Normani เพลงสไตล์ฟังก์ Love Me ของวง The 1975 ส่วนเพลงฮิตคลาสสิกของ วิตนีย์ ฮุสตัน อย่าง I Wanna Dance With Somebody (Who Loves Me) ก็ใช้ในฉากหนึ่งที่จะทำให้คนยิ้มและหัวเราะอย่างแน่นอน
พอมีหนังอย่าง Love, Simon ออกมา ทั้งยังประสบความสำเร็จด้านคำวิจารณ์ รายได้ที่บอกซ์ออฟฟิศ และกระแสชื่นชมต่างๆ นี่อาจเป็นนิมิตหมายที่ดีว่าค่ายฮอลลีวูดพร้อมที่จะลงทุนกับหนัง LGBTQ+ ในสายเมนสตรีมมากขึ้น แทนที่จะแค่ซื้อลิขสิทธิ์มาฉายและกวาดรางวัล ซึ่งแน่นอนเราอาจจะยังไม่ถึงขั้นที่ ไรอัน เรย์โนลด์ส จะไปแสดงในหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่เป็นทนายอยู่ย่าน Wall Street ในนิวยอร์กใส่สูท Tom Ford ทุกวัน และดันไปตกหลุมรักกับอาร์ทิสต์จากบรู๊คลิน แสดงโดย ไรอัน กอสลิง พร้อมมีฉากจูบกลางสายฝนตอนช่วงท้ายเรื่อง แต่อย่างน้อย Love, Simon ก็ทำให้เห็นว่าเรากำลังเดินหน้าไปในทางที่ถูก ในทางที่เราไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้เห็น และในอนาคต คงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกอะไร ถ้าเราจะเห็นโปสเตอร์หนังที่มีผู้ชายสองคน ผู้หญิงสองคน หรือจะคนรูปแบบไหนก็ตามแต่ เพราะสุดท้ายเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหมดนั่นล่ะ