ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ทุกๆ กลางเดือนพฤษภาคม ผมจะพบเจอตัวเองตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้รับชมไลฟ์สตรีมแฟชั่นโชว์คอลเล็กชัน Cruise ของ Louis Vuitton อยู่เสมอ เพราะใครที่ทำงานอยู่ในวงการแฟชั่นจะรู้ดีว่า นี่คืออีกหนึ่งในรันเวย์ที่สำคัญแห่งปี ซึ่งในช่วงเวลาประมาณ 15 นาทีของโชว์ ถึงแม้ผมจะรู้สึกหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่งกับฉากหลังเป็น Salk Institute ที่ซานดิเอโก หรือ Niterói Contemporary Art Museum ในเมืองรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล แต่ในหัวของผมก็จะมีความคิดแวบขึ้นมาตลอดว่า “วันหนึ่งเราจะมีโอกาสไปไหมนะ?”
โดยล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฝันของผมก็เป็นจริง หลัง THE STANDARD กลายเป็นสื่อหัวไทยและสื่อออนไลน์แรกในประวัติศาสตร์ของ Louis Vuitton ที่ได้ไปร่วมงานแฟชั่นโชว์ Cruise Collection ซึ่งก็ถือว่าเป็นอีก Milestone สำคัญของสื่อเรา เพราะตอนที่ THE STANDARD เพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ เมื่อ 6 ปีก่อน แค่การที่เราได้รับเชิญไปงาน Louis Vuitton ที่ร้านสยามพารากอน ก็เป็นเกียรติมากพอแล้ว
Isola Bella สถานที่จัดโชว์ Louis Vuitton Cruise 2024
ข้ามมาวันที่ 21 พฤษภาคม เราได้เริ่มออกเดินทางไปยังประเทศอิตาลี เพื่อไปร่วมงาน Louis Vuitton Cruise 2024 ซึ่งปีนี้มีนิตยสาร Vogue และ L’Officiel ไปด้วย พร้อมกับ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ในฐานะ Friend of the House และที่สร้างเซอร์ไพรส์ก็คือ ดิว-จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์ นักแสดงจากค่าย GMM TV ไปร่วมงานด้วย
โดยนับว่าเป็นครั้งแรกที่มีนักแสดง 2 คนจากประเทศไทยไปดูโชว์ Cruise ของ Louis Vuitton ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาท อิทธิพล และชื่อเสียง ของดาราบ้านเราที่ก้าวกระโดดและมีแฟนคลับอยู่ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งจะช่วยสร้างอิมแพ็กและ Brand Awareness ให้กับอีเวนต์สำคัญระดับโลก
ในช่วงสองวันแรก เราได้ปักหลักอยู่ที่เมืองเวนิส เพราะจะได้ไปเยี่ยมชมโรงงานรองเท้าของ Louis Vuitton ที่ย่านเฟียสโซดิอาร์ติโก ซึ่งรองเท้าทุกประเภทของแบรนด์ไม่ว่าจะเคยดีไซน์โดย Marc Jacobs, Virgil Abloh หรือ Nicolas Ghesquière สำหรับโชว์ Cruise 2024 ในครั้งนี้ ก็ต้องผ่านโรงงานนี้ทั้งหมด ซึ่งเดี๋ยวทาง THE STANDARD จะมีคอนเทนต์พิเศษออกมาช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้
วิวของ Lake Como สถานที่จัด Welcome Dinner สื่อ APAC
หลังจากจบการไปเยี่ยมชมโรงงานที่เฟียสโซดิอาร์ติโก เราก็ได้นั่งรถไปยัง Lake Como ยาว 3 ชั่วโมง เพื่อไปร่วมงาน Welcome Dinner กับสื่อโซน APAC ก่อนที่จะนั่งรถไปอีก 1 ชั่วโมง เพื่อเช็กอินที่โรงแรม Regina Palace ที่อยู่ติดกับ Lake Maggeorie ที่เมืองสเตรซา ซึ่งตกแต่งในสไตล์อิตาเลียนบาโรกย้อนยุคที่ Wes Anderson คงอยากจะมาถ่ายภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่นี่
สำหรับโชว์ Cruise ทุกปีของ Louis Vuitton จะมีแขกมาร่วมชมประมาณ 600-1,500 คน แล้วแต่สถานที่และเมืองที่จัด โดยจะประกอบไปด้วยเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ ดาราและศิลปิน อินฟลูเอ็นเซอร์ สื่อ และลูกค้าวีไอพีของแต่ละประเทศที่มาพร้อมกับ Sales Associate เตรียมจดออร์เดอร์สินค้าที่อยากได้ในวันถัดไป โดยในปีนี้แขกที่มาก็จะถูกกระจายไปอยู่ตามโรงแรมต่างๆ ในเมืองสเตรซา ซึ่งอยู่ห่างจาก Isola Bella สถานที่จัดโชว์ เพียง 15 นาที รวมถึงมีแขกอีกเซ็ตหนึ่งที่อยู่ที่ Lake Como ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางมานาน 1 ชั่วโมงครึ่ง
ของขวัญ Welcoming Pack
เมื่อทุกคนเช็กอินเข้าห้องปุ๊บ คุณก็จะเจอเซ็ตของขวัญ Welcoming Pack ของ Louis Vuitton ที่ได้เหมือนกันทุกคน ซึ่งสิ่งนี้แหละเป็นสิ่งที่หลายคนรอคอยเพื่อถ่ายลงโซเชียลมีเดีย (ผมก็ด้วย) และจะทำให้เห็นว่าแต่ละแบรนด์จะยอมทุ่มทุนขนาดไหน โดยสำหรับโชว์ Cruise 2024 นอกเหนือจากบัตรเชิญแฟชั่นโชว์, การ์ด Welcome Note จาก Pietro Beccari ซีอีโอคนใหม่ของแบรนด์, ชุดหนังสือเรื่องราวท่องเที่ยว และเซ็ตขนมหวานพื้นเมืองแล้ว Louis Vuitton ก็ยังมอบกระเป๋า, แว่นตากันแดด ที่ Bella Hadid กำลังเป็นพรีเซนเตอร์ในแคมเปญ และยังมีเสื้อยืดประดับโซ่ตรงคอ แถมในห้องน้ำก็มีการเปลี่ยนเซ็ตของใช้ทั้งหมดที่อยู่ภายใต้เครือ LVMH เหมือนกัน โดยทั้งหมดก็ทำให้เห็นว่า Louis Vuitton เข้าใจถึงการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและสะท้อนให้เห็นว่า ทำไมแบรนด์นี้ถึงกลายเป็นแบรนด์ลักชัวรีเจ้าแรกในประวัติศาสตร์ที่ทำรายได้ไปถึง 2 หมื่นล้านได้ใน 1 ปี เมื่อปี 2022
ตื่นเช้ามาวันแฟชั่นโชว์ (24 พฤษภาคม) ผมก็เช็กดูพยากรณ์อากาศในมือถือเป็นอย่างแรก ซึ่งก็มีการคาดการณ์ว่าจะฝนตกไม่หยุดทั้งวัน โดยผมได้แต่คาดหวังว่าข่าวลือที่ว่า Louis Vuitton จะมีหมอผีจากบราซิลมารอสแตนด์บายทุกปีที่โชว์ Cruise เพื่อไม่ให้ฝนตกจะเป็นความจริง แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ผมก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้มาร่วมโชว์นี้
ตกเย็นถึงแม้ฝนจะยังคงตกกระหน่ำ และภาพฝันของการได้ไปโชว์ Cruise แบบอิตาเลียนซัมเมอร์จะยังคงเป็นได้แค่ฝันต่อไป แต่ก็ถึงเวลาไปชมแฟชั่นโชว์ ซึ่งต้องเดินทางไปยังท่าเรือใกล้โรงแรม เพื่อนั่งเรือไปยังเกาะ Isola Bella สถานที่จัดโชว์
Isola Bella เป็นเกาะเล็กๆ ของครอบครัวตระกูลเก่าแก่นาม Borromeo ตั้งแต่ปี 1501 ซึ่งเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและศิลปะแนวบาโรก โดยไฮไลต์ก็คือ Botanical Garden สวนสไตล์บาโรกที่มีทั้งรูปปั้น เสาแกะสลัก และน้ำตกที่สร้างขึ้นเป็นชั้นๆ คล้ายพีระมิด ซึ่งตามแพลนจะต้องเป็นสถานที่จัดแฟชั่นโชว์ แต่เพราะฝนตกหนัก ทางทีม Louis Vuitton จึงตัดสินใจเมื่อเวลา 16.30 น. ของวันนั้น ว่าต้องย้ายไปจัดโชว์ด้านในปราสาทบาโรก Palazzo Borromeo แทน ซึ่งก็สวยสะกดตาไม่แพ้กัน โดยหากใครสงสัยว่าทำไมพอเข้าไปดูใน Instagram หรือ YouTube ของแบรนด์ ตัววิดีโอแฟชั่นโชว์จะเดินในสวนพฤกษศาสตร์ ก็ต้องบอกว่า Louis Vuitton ใช้ฟุตเทจจากการซ้อมใหญ่แทน
จากซ้ายบน: Pharrell Williams, Oprah Winfrey, ดิว-จิรวรรตน์ สุทธิวณิชศักดิ์, Chiara Ferragni, Noémie Merlant, Cate Blanchett และ Jennifer Connelly
ข้ามมาที่ฝั่งดาราและศิลปินที่ได้รับเชิญมางาน Louis Vuitton Cruise 2024 ก็ถือว่ายิ่งสุดเข้าไปอีก มีแบรนด์แอมบาสเดอร์ ยกตัวอย่างเช่น แบรนด์แอมบาสเดอร์อย่าง Cate Blanchett, Emma Stone, Alicia Vikander, Jaden Smith และ Jennifer Connelly บวกกับยังมี Felix แรปเปอร์จากวง Stray Kids ที่ผมจะไม่แปลกใจหากเร็วๆ นี้ทางแบรนด์จะประกาศให้เป็นแอมบาสเดอร์คนใหม่ เพราะเขาเป็นไฮไลต์ของทั้งโชว์นี้และโชว์ Pre-Fall 2023 ที่กรุงโซล เมื่อเดือนก่อน
แต่ที่สร้างเซอร์ไพรส์จนทำให้ผมตกใจและอยากเริ่มร้องไห้อีกรอบก็คือ การได้เจอ Oprah Winfrey ที่มากับเพื่อนสนิทและพิธีกรชื่อดัง Gayle King ซึ่งถึงแม้ผมจะเห็นหน้า Oprah Winfrey ประมาณ 2 วินาที แต่ก็ถือว่าเป็นความทรงจำที่ผมจะจำไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
เพราะอากาศที่ฝนตกหนักและโชว์ต้องมาจัดด้านใน ทางทีมเลยปล่อยให้เป็น Free Seating นั่งที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ โดยผมก็นั่งติดกับ พี่ฟอร์ด-กุลวิทย์ เลาสุขศรี บรรณาธิการบริหารนิตยสาร Vogue ประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำคัญในการทำงานของผม และมีความสุขทุกครั้งที่ได้กินข้าวเช้า พร้อมฟังประสบการณ์เรื่องราวชีวิตของเขาที่ได้ช่วยปูทางให้ประเทศไทยเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญในแวดวงลักชัวรี ส่วนที่นั่งติดกับพี่ฟอร์ดคือ พี่โต้ง-เศรษฐพงศ์ เผ่าวัฒนา บรรณาธิการบริหาร L’Officiel ประเทศไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรุ่นพี่ในวงการที่ผมได้มีโอกาสร่วมเดินทางด้วยบ่อยครั้งในช่วงหลังและได้รับพลังบวกอยู่เสมอ
พอถึงเวลา 20.45 น. ปุ๊บ ตัวแฟชั่นโชว์ก็เริ่มขึ้นทันที คนที่ดูไลฟ์สตรีมจากทางบ้านก็จะได้เห็นวิดีโอซ้อมใหญ่จากตัวสวนด้านนอก ส่วนคนที่งานก็ได้ดูโชว์ในปราสาทบาโรก Palazzo Borromeo ที่ใครอยากเห็นบรรยากาศก็ต้องไปไล่ดูในโซเชียลมีเดีย
แฟชั่นโชว์ช่วงซ้อมใหญ่ ณ Botanical Garden ของ Isola Bella
แฟชั่นโชว์ด้านในปราสาทบาโรก Palazzo Borromeo ของ Isola Bella
ซีซันนี้ Nicolas Ghesquière ได้ใช้จินตนาการวาดฝันไอเดียให้แต่ละลุคเหมือนเป็นตัวละครสัตว์แฟนตาซีจากโลกใต้น้ำในเทพนิยายที่โดนพัดพาให้มาเจอเกาะ Isola Bella และใช้เป็นที่พักอาศัย ผสมผสานกับสไตล์อิตาเลียนบาโรกตามสถาปัตยกรรมของ Isola Bella ที่เห็นได้จากลายพิมพ์ สีสัน และเฮดพีซที่ทำจากงานฝีมือ Artisan ในกรุงโรม เข้ากับความโมเดิร์นร่วมสมัยจากการใช้วัสดุอย่างผ้าสกูบา
โดย Nicolas Ghesquière ถือว่าเป็นดีไซเนอร์สุดโต่งในแนวคิด มีความ Editorial สูง และอยากดันกรอบความคิดสร้างสรรค์ให้ล้ำไปขั้นหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งหากใครคิดว่าคอลเล็กชันนี้ดูใส่ยาก ก็ต้องเข้าใจว่าพวกลุคที่เราเห็นในแฟชั่นโชว์มักเป็น Show Piece ที่ต่อไปจะถูกโฟกัสไปใช้ถ่ายแบบนิตยสารและให้ลูกค้าวีไอพีที่อยากได้สั่งจอง อย่างเช่น ที่ร้าน Exclusive Store ณ ไอคอนสยาม แต่ในร้านอื่นๆ คุณจะเห็นเป็น Commercial Collection ที่เป็นการตีความเสื้อผ้าอีกทีเพื่อให้ดูใส่ง่ายขึ้น
ส่วนอีกหนึ่งความน่าสนใจที่ผมทำนายเล่นๆ ก็คือ ในช่วงหลังของคอลเล็กชัน Nicolas Ghesquière ได้ปล่อย 7 ลุคที่เป็นชุดราตรี ซึ่งเขาก็มักจะไม่ทำและจะทำแค่สำหรับพวกชุดดาราหรือเซเลบริตี้เดินพรมแดง แต่สิ่งที่ผมกำลังคิดอยู่คือ หรือว่า Louis Vuitton กำลังคิดที่จะทำไลน์กูตูร์ของตัวเอง เพราะเป็นสิ่งที่ทางแบรนด์ยังไม่มี
โดยในช่วงหลังจะเห็นได้ชัดว่าทาง Louis Vuitton พยายามทำโปรเจกต์ใหม่ๆ ที่จะทำให้ตัวเองมีความเป็น 360 องศา ครอบคลุมทุกจักรวาลในวงการลักชัวรีและไลฟ์สไตล์ โดยในปีนี้ก็มีการเปิดตัวทั้งไลน์เสื้อผ้าเด็ก ประกาศสร้างโรงแรมแห่งแรกของตัวเองที่ปารีส และล่าสุดกับเลานจ์ที่สนามบินโดฮา ซึ่งการทำไลน์กูตูร์หรือพวก Made-to-Order สั่งตัดพิเศษ ถือว่าสำคัญมากสำหรับหลายคู่แข่งในช่วงหลัง เพื่อทำ Brand Building สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า Super Elite ที่อยากได้ทุกอย่างของ Louis Vuitton ตั้งแต่กางเกงใส่ไปประชุมทำงาน ไปจนถึงชุดราตรีไปงานสังสรรค์
Nicolas Ghesquière ออกมาในช่วงท้ายแฟชั่นโชว์
Kiosk หนังสือ The City Guide Series ของ Louis Vuitton
มากไปกว่านั้น ถึงแม้ผมอาจจะรู้สึกเสียดายที่โชว์และสภาพอากาศไม่ได้เป็นไปตามแพลน แต่ด้วยมวลรวมของคอลเล็กชันผมกลับคิดว่า บรรยากาศของฝนและหมอกก็เข้ากันได้ดีอยู่ และสร้างความลึกลับแฟนตาซี มีความซีเนมาติก ให้กลิ่นอายความเป็น The Little Mermaid ผสมภาพยนตร์ไซไฟ ผสม Eyes Wide Shut ของ Stanley Kubrick อยู่หน่อยๆ
แต่น่าเสียดายที่หลังจบโชว์ อาฟเตอร์ปาร์ตี้ก็ต้องถูกยกเลิกไปโดยปริยาย แม้จะมีการสร้างโซนเวทีกับไฟ LED อย่างตระการตา แถมรอบๆ เกาะ Isola Bella ก็มีการจำลองเป็นเมืองอิตาลีน่ารักๆ ที่มีแผงหนังสือ Travel Guide ของ Louis Vuitton มีการจัดวางสินค้ากระเป๋าเดินทาง และมีร้านดอกไม้ แต่ทั้งหมดก็ต้องถูกพับเก็บทั้งหมด
ญาญ่า อุรัสยา นั่งติดกับ Gemma Chan ตรงฟรอนต์โรว์ของแฟชั่นโชว์
เขียนมาถึงจุดนี้ มีหนึ่งชื่อที่ผมได้เอ่ยถึง แต่ยังไม่ได้ขยายความมาก นั่นก็คือ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ Friend of the House ของ Louis Vuitton ซึ่งคุณแม่และหลายคนรอบตัวผมได้ถามถึงความรู้สึกหลังได้ไปร่วมทริปกับเธอเป็นครั้งแรก โดยผมต้องบอกก่อนว่า ในช่วงปีที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศกับพระเอก-นางเอกค่อนข้างเยอะ ซึ่งผมโชคดีมากที่ทุกคนมีความเป็นกันเอง ไม่ถือตัว เก่ง และเหมาะสมที่จะมีคนรักขนาดนี้
โดยสำหรับญาญ่าเองผมขอพูดตรงนี้ว่า เธอไร้ที่ติจริงๆ วิธีการพูด วิธีการตอบคำถามเกี่ยวกับแบรนด์ หรือการสนทนาบนโต๊ะอาหาร เธอเพอร์เฟกต์ไปหมด และที่สำคัญคือ เธอสนใจที่จะเรียนรู้และรู้จักคนอื่นจริงๆ ผมยอมรับว่าตอนแรกผมไม่ได้คิดหรอกว่าเธอจะมาถามผมว่าอายุเท่าไร เป็นลูกครึ่งอะไร พูดภาษาสวีดิชได้ไหม และเราจะได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวการเคยอยู่โรงเรียนประจำและความสำคัญของเพื่อนฝูงสมัยมัธยม แต่นี่แหละคือ ญาญ่า-อุรัสยา เสปอร์บันด์ ที่ผมได้รู้จักและขอชื่นชมอีกครั้ง
ลุคไฮไลต์คอลเล็กชัน Louis Vuitton Cruise 2024
ท้ายที่สุดแล้ว ประสบการณ์ Louis Vuitton Cruise 2024 ตอกย้ำความคิดส่วนตัวที่มีมาตั้งแต่แรกเริ่มในการทำงานสายนี้ว่า วงการแฟชั่นมีพลัง มีความงดงาม มีมิตรภาพ และมีความสำคัญมากกว่าที่หลายคนคิด คุณอย่าได้ตีความวงการแฟชั่นหรือแบรนด์ Louis Vuitton ว่ามีแต่ความฟุ่มเฟือย และจะมองบน-มองล่างแค่เพราะคนอาจไม่ได้สนใจหรือคิดว่าเป็นไลฟ์สไตล์ที่เข้าไม่ถึง
แม้ผลลัพธ์ของโชว์ Louis Vuitton Cruise 2024 จะมีความยาวแค่สิบกว่านาที แต่คิดถึงจำนวนทีมงานที่ต้องมาทำงานร่วมกันเป็นเดือนๆ เพื่อสร้างโมเมนต์นี้ การที่แบรนด์จะสามารถสร้างรายได้ให้กิจการท้องถิ่น และทำให้เมืองอย่างสเตรซาและสถานที่เที่ยวอย่าง Isola Bella กลายเป็นหมุดหมายใหม่ที่คนอยากมาเที่ยว ซึ่งต่อไปจะขับเคลื่อนธุรกิจและการท่องเที่ยวได้อีกยาวนาน โดยสิ่งเหล่านี้แหละคือไส้ในสำคัญที่ทำให้เห็นว่า อุตสาหกรรมแฟชั่นไม่ได้มีแค่เปลือกนอก และจะก้าวไปจุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน
ช่วงปิดท้ายแฟชั่นโชว์
ภาพ: Gunn Kochapanya, Getty Images, Louis Vuitton