* บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหา
(ซ้ายสุด) มอลลี พาร์กเกอร์ รับบทเป็น มอรีน โรบินสัน และ (ขวาสุด) โทบี สตีเฟนส์ รับบทเป็น จอห์น โรบินสัน
Netflix ได้ประกาศว่าในปี 2018 บริษัทจะมีการลงทุนสร้าง Original Content ของตัวเองมากกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจะเพิ่มงบมาร์เก็ตติ้งจาก 1.2 พันล้านเหรียญเป็น 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าเป็นกระจกสะท้อนการแข่งขันของอุตสาหกรรมบันเทิงและบริการทีวีสตรีมมิงที่เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงผู้นำวงการ จากสตูดิโอทำหนังแบบเดิม ถ่ายเทมาที่บริษัทอย่าง Netflix ซึ่งพูดได้ว่าทุกวงการกำลังอยู่ในยุค Disruption อย่างจริงจัง
THE STANDARD ได้เดินทางไปเมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเข้าร่วมงานเปิดตัวซีรีส์เรื่องใหม่ Lost in Space พร้อมสัมภาษณ์ 5 นักแสดงนำครอบครัวโรบินสันจากเรื่องนี้ เริ่มด้วย โทบี สตีเฟนส์ (Toby Stephens) นักแสดงชาวอังกฤษที่ดังจากบทบาทตัวร้าย Gustav Graves ในภาพยนตร์ James Bond ภาค Die Another Day ซึ่งเขารับบทเป็น จอห์น โรบินสัน และมอลลี พาร์กเกอร์ (Molly Parker) จากซีรีส์ House of Cards ที่รับบทเป็น มอรีน โรบินสัน สองผู้นำครอบครัวที่กำลังประสบปัญหากับความสัมพันธ์ที่ห่างเหินของพวกเขา ส่วนเด็กๆ ในครอบครัวโรบินสันก็มี เทย์เลอร์ รัสเซลล์ (Taylor Russell) จากเรื่อง Falling Skies รับบทเป็น จูดี้ โรบินสัน หญิงสาวที่มีความเป็นตัวของตัวเองและเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ, มีนา ซันด์วอลล์ (Mina Sundwall) จากเรื่อง Maggie’s Plan รับบทเป็น เพนนี โรบินสัน เด็กที่คล่องแคล่วว่องไว และมีนิสัยตามแบบฉบับลูกคนกลาง ร่วมด้วย แม็กซ์เวลล์ เจนคินส์ (Maxwell Jenkins) จากเรื่อง Sense8 รับบทเป็น วิล โรบินสัน น้องชายคนสุดท้องที่มีความอ่อนไหว ขี้สงสัย และบอบบางเป็นที่สุด ผู้ซึ่งสร้างพันธะผูกพันที่ไม่สามารถอธิบายได้กับหุ่นยนต์เอเลี่ยนที่มีความรู้สึก
Lost in Space เป็นซีรีส์แนวดราม่าวิทยาศาสตร์ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอีก 30 ปีข้างหน้า เมื่อมนุษย์โลกครอบครองอาณานิคมในจักรวาลได้ และครอบครัวโรบินสันได้รับเลือกเป็นหนึ่งในกลุ่มแรกที่จะขึ้นไปสร้างชีวิตใหม่ในโลกใบใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่เกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการเดินทาง ทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนเส้นทางและลงจอดที่ดาวเคราะห์ พวกเขาจะต้องร่วมมือกันเพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์อันตรายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ห่างจากโลกใบเก่าหลายร้อยปีแสง
ซีรีส์นี้เป็นการรีเมกซีรีส์ระดับตำนานชื่อเดียวกันในปี 1965 และเคยทำเป็นหนังใหญ่ในปี 1998 ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่ทาง Netflix เลือกใช้กลยุทธ์ที่จะนำหนังหรือซีรีส์มาทำใหม่ เพราะทางบริษัทสตรีมมิงซึ่งก่อตั้งโดย มาร์ค แรนดอล์ฟ (Marc Randolph) และ รีด แฮสติงส์ (Reed Hastings) ในปี 1997 ที่แคลิฟอร์เนีย ได้เห็นความสำเร็จของช่องทางนี้ที่มาพร้อมแฟนคลับในตัวอยู่แล้ว เช่น ซีรีส์ Fuller House และ Dynasty เรียลิตี้โชว์ Queer Eye ที่เพิ่งมีการไฟเขียวซีซัน 2 และซีรีส์ขวัญใจเหล่าวัยทีน Sabrina the Teenage Witch ที่กำลังถ่ายทำอยู่ในตอนนี้
แต่ Lost in Space ในเวอร์ชันนี้ก็ไม่ได้แค่รีเมกง่ายๆ ก๊อบเวอร์ชันดั้งเดิมมาทุกกระเบียดนิ้วหรือเน้นความมันกับฉากที่ถือว่ายกระดับวงการทีวี (คุณได้เห็นแน่นอน) แต่ยังแฝงด้วยบริบทสังคมต่างๆ ที่ละเอียดอ่อนและเรากำลังเผชิญกันอยู่ ไม่ว่าเรื่องราวของบทบาทผู้หญิง พลังของเยาวชน การที่คนพยายามอพยพครอบครัวไปในที่ที่เปิดกว้างกว่าเพราะแรงกดดันของสังคมที่อยู่ปัจจุบัน และเรื่องสีผิวที่มีการเปลี่ยนตัวละครลูกสาวคนโต ตัวละคร จูดี้ โรบินสัน ให้เป็นผิวสี ซึ่งทำให้เห็นว่า Netflix ก็ยังคงมุ่งเน้นที่จะสร้างความ Inclusive ในคอนเทนต์ที่ตัวเองผลิต
ซีรีส์ Lost in Space ใช้เวลาถ่ายทำตลอด 7 เดือน ซึ่งยกกองไปถ่ายที่เมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา ซึ่ง Netflix ก็ยอมทุ่มทุนสร้างและเนรมิตฉากขึ้นมาใหม่ในสถานที่จริงเพื่อความสมจริง และถ่ายกับแสงธรรมชาติมากกว่าแค่พึ่งพากรีนสกรีนและสเปเชียลเอฟเฟกต์อย่างเดียว โดย Production Designer ของซีรีส์เรื่องนี้ก็คือ Ross Dempster ที่เคยฝากผลงานในหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง Godzilla (2014) และ Elysium (2013) ส่วนคนที่มาควบคุม Visual Effect ก็คือ Jabbar Raisani ที่เคยทำเรื่อง Iron Man และ Game of Thrones มาแล้ว
จากซ้ายไปขวา: มอลลี พาร์กเกอร์, เทย์เลอร์ รัสเซลล์, แม็กซ์เวลล์ เจนคินส์, มีนา ซันด์วอลล์ และโทบี สตีเฟนส์
รู้สึกอย่างไรกับการถ่ายทำเรื่อง Lost in Space และสร้างครอบครัวโรบินสันฉบับเวอร์ชันใหม่
แม็กซ์: เป็นประสบการณ์ที่สนุกมากที่ได้ทำงานกับทีมนักแสดงและทีมงานที่มากความสามารถ ผมได้เรียนรู้หลายอย่าง และต้องขอบคุณทีมนักเขียนบทและโปรดิวเซอร์ที่ให้โอกาสผมมาเล่นเรื่องนี้
มอลลี: สำหรับเด็กๆ พวกนี้ Lost in Space เป็นซีรีส์สเกลใหญ่เรื่องแรกของพวกเขา ซึ่งมาพร้อมแรงกดดันต่างๆ แต่เพราะพวกเขาจิตใจดีและทำงานด้วยง่าย เราเลยโชคดีมาก ส่วนตัวซีรีส์เองเป็นแนวผจญภัยนอกโลก ทาง Netflix ก็ได้ลงทุนด้วยงบมหาศาล สร้างฉากอลังการ คอสตูมก็เจ๋ง แต่การถ่ายทำก็ถือว่าหินสุดๆ และเพราะความยากในการถ่ายทำ เราเลยสนิทกันอย่างรวดเร็ว พร้อมผ่านอุปสรรคช่วงการถ่ายทำไปด้วยกันตั้งแต่วันแรก
โทบี: พวกเราเหมือนถูกโยนเข้ามาในสิ่งนี้ด้วยกัน แต่โชคดีที่เคมีเราตรงกัน และทุกคนสนุกที่ได้ทำงานร่วมกัน และถ้าให้พูดตามตรง พวกฉากแอ็กชันหรือฉากที่ต้องใช้พละกำลังเยอะก็สนุก แต่สิ่งที่ประทับใจที่สุดคือตอนได้ถ่ายซีนครอบครัวโรบินสันกับนักแสดงกลุ่มนี้
มีนา: ฉากแรกที่พวกเราถ่ายทำด้วยกันก็คือฉากที่ยานอวกาศชนตอนเปิดซีรีส์ มันทรหดสุดๆ เพราะเป็น Sequence ที่ยาวมาก ซึ่งก็เหมือนเป็นบททดสอบให้ดูว่าเราจะเข้ากันไหม และหลังจากนั้นเราก็ชินที่จะเริ่มถ่ายตั้งแต่ตี 4 จนถึง 6 โมงเช้าของวันต่อมาตลอดทั้ง 7 เดือน
(โทบีหันไปถามมีนา)
โทบี: เธอจำได้ไหมว่าหลังจากฉากแรกในยานอวกาศ พวกเราต้องถ่ายฉากธารน้ำแข็งต่อและถ่ายกับพวกหิมะปลอมต่างๆ (หัวเราะ)
โทบี: การถ่ายทำช่วงแรกของซีรีส์ถือว่ายากจริงๆ แถมโปรดิวเซอร์และคนสร้างก็จะจู้จี้ลงดีเทลทุกสัดส่วน และยังตัดสินใจว่าอยากจะผลิตโชว์ออกมารูปแบบไหน
เทย์เลอร์ รัสเซลล์ (รับบท จูดี้ โรบินสัน) และมีนา ซันด์วอลล์ (รับบท เพนนี โรบินสัน)
เทย์เลอร์ รัสเซลล์, แม็กซ์เวลล์ เจนคินส์ และมีนา ซันด์วอลล์
มอลลี มีนา และเทย์เลอร์ คุณรู้สึกอย่างไรกับการเล่นเป็นตัวละครผู้หญิงที่แข็งแกร่ง
มอลลี: เหตุการณ์ Lost in Space เกิดขึ้น 30 ปีในอนาคต ซึ่งนักเขียนของเราจินตนาการโลกที่มีความเท่าเทียมทุกสัดส่วน เวอร์ชันของเราไม่ใช่จะมาพยายามสร้างบริบทใหม่ว่า ‘ผู้หญิงสมัยนี้ต้องแข็งแรง!!!’ เรากำลังเสนอว่าในอนาคตผู้หญิงก็แข็งแรงตามธรรมชาติอยู่แล้ว และสามารถทำทุกอย่างที่ผู้ชายทำได้หมด
มีนา: และเราไม่ได้ตั้งใจว่าในเวอร์ชันใหม่ต้องมีนักวิทยาศาสตร์หรือหมอที่เป็นผู้หญิง เราแค่มีนักวิทยาศาสตร์และหมอที่ดันเป็นผู้หญิง สิ่งที่เรากำลังพยายามจะสะท้อนคือ มันไม่ได้สำคัญว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง แค่ขอให้คนคนนั้นทำงานได้ดีก็เพียงพอแล้ว
ถ้าเลือกได้ คุณจะยอมไปนอกโลกในอวกาศกับครอบครัวไหม
เทย์เลอร์: ถ้าตามความฝันก็ชัวร์แน่นอน
มอลลี: ไม่! ฉันเป็นคนกลัวที่ปิดทึบ (Claustrophobic) และโลกที่เราอยู่ก็ยังสวยงาม
มากกว่าแค่ความสนุก ความมัน Lost in Space ต้องการสะท้อนอะไรให้สังคมและคนดูไหม
โทบี: แม้ซีรีส์ของเราจะแฝงด้วยแง่คิดบวกต่างๆ แต่สิ่งที่ Lost in Space อยากให้ผู้ชมคิดก็คือ เราจะรักษาโลกใบนี้ของเราต่อไปอย่างไร และไม่ว่าจะอีกกี่ปีแสงที่เราจะสามารถย้ายไปอยู่ดาวอื่น เราไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นอย่างไร มันจะดีกว่าโลกไหม จริงๆ แล้วมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่หรือเปล่า
มีนา: โชว์ของเราพูดถึงหลายประเด็นที่สำคัญต่อมนุษย์ และสร้างคำถามว่าเราจะรับมือกับปัญหากันอย่างไร เช่นเรื่องภัยโลกร้อน การเมือง และสิทธิมนุษย์ Lost in Space เกิดขึ้นในอนาคตและเป็นเหตุการณ์ระดับโลกที่หลายประเทศร่วมมือกันเพื่อจะนำพาคนย้ายไปดาวดวงใหม่ แต่เราก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเกิดขึ้นจริงได้ไหม เพราะทุกวันนี้ปัญหาระหว่างประเทศยังมีให้เห็นกันอยู่เลย มากไปกว่านั้น Lost in Space โชว์ถึงพลังและศักยภาพของเยาวชนที่ทุกวันนี้เราได้เห็นพวกเขาออกมาเดินประท้วงกันและเรียกร้องความถูกต้องที่ควรเกิดขึ้นในสังคม
โทบี: ตอนที่ผมได้ดู 2 ตอนแรก ผมนั่งคิดว่าเรื่องนี้สำคัญมาก มันเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กๆ อยากเป็นเหมือนหนึ่งในตัวละครลูกๆ เรื่องนี้อาจทำให้เด็กอยากตั้งใจเรียนเลข เรียนวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหาที่สำคัญ เหมือนฉากที่ลูกสาว 2 คนต้องตัดสินใจผ่าตัดแม่ตัวเอง ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องราวที่สร้างขึ้นมา แต่มันก็เป็นตัวอย่างที่เด็กควรมีโอกาสได้เห็นบนจอ
มีนา: ฉันคิดว่าถึงเวลาที่ผู้หญิงก็เป็นฮีโร่ได้ และไม่ใช่แค่สำหรับผู้หญิงเอง แต่สำหรับทุกคน
แม็กซ์: ผมขอกลับไปเรื่องที่ว่าอยากไปนอกโลกได้ไหม ผมมักชอบตกอยู่ในภวังค์ เพราะเคยอ่านว่าภายในปี 2021 มนุษย์กว่า 7 ล้านคนจะเสียชีวิตจากภาวะโลกร้อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงไหม ส่วนข้อคิดของซีรีส์นี้ที่ผมมองว่าสำคัญมาก ที่จะเห็นผ่านตัวละครวิลที่ผมแสดงกับหุ่นยนต์ก็คือ คนที่ทำอะไรผิดในอดีตมักชอบโดนสังคมตราหน้าว่าไม่ดีและไม่ได้รับโอกาสอีกครั้ง แต่ในความเป็นจริงแล้วคนเราอาจไม่ได้เกิดมาเป็นคนไม่ดี แค่เราถูกโยนไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เราต้องเลือกทำสิ่งที่อาจไม่ถูกต้อง
พาร์กเกอร์ โพซีย์ (รับบทเป็น Dr.Smith) และแม็กซ์เวลล์ เจนคินส์ (รับบทเป็น วิล)
ทำงานด้วยกันมา 7 เดือน พวกคุณพบเจอปัญหาวิตกกังวลจากการแยกจากกัน (Separation Anxiety) ไหม
เทย์เลอร์: แน่นอน เพราะช่วงหนึ่งคุณอยู่ด้วยกันตลอด 16 ชั่วโมงต่อวัน และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกันอีกนาน เพราะทุกคนไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน ซึ่งก็ทำให้คิดถึงทุกคน แต่พอมีโอกาสแบบนี้ที่ได้มาโตเกียวด้วยกัน เราก็รู้สึกเหมือนได้เจอครอบครัวที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้ห่างกันมานาน
มีนา: หลังถ่ายทำซีรีส์เสร็จฉันก็อยากกลับไปโรงเรียนนะ ไปเจอเพื่อนๆ และใช้ชีวิตอยู่กับสุนัขตัวเอง แต่พอเริ่มเรียนไปสองเดือนก็เริ่มอยากกลับไปถ่ายซีรีส์ เพราะชีวิตเรียนมันยากกว่าจริงๆ (หัวเราะ)
แม็กซ์: ผมน่าจะประสบปัญหาวิตกกังวลจากการแยกจากกันมากที่สุด และไม่ใช่แค่จากนักแสดงครอบครัวโรบินสันเหล่านี้ แต่จากทีมงานทั้งหมดด้วย ตอนที่ผมอยู่ที่แวนคูเวอร์ตลอด 7 เดือน ผมไม่ได้มีเพื่อนใหม่ในหมู่ทีมงาน แต่ผมได้ไปรู้จักเจ้าของร้านอาหาร พนักงานเสิร์ฟอาหาร เจ้าของร้านสเกตบอร์ด และเพื่อนบ้าน ผมรู้สึกว่าตัวเองได้อยู่ในสังคมที่มีความสุขจริงๆ ที่แวนคูเวอร์ และบางครั้งผมต้องไปร้องไห้คนเดียวในห้องน้ำที่โรงเรียนเพราะคิดถึงทุกคน มากไปกว่านั้น ผมก็สนิทกับพวกช่างกล้องที่พอช่วงท้ายๆ ของการถ่ายซีรีส์ ผมก็จะไปกินข้าวเที่ยงในรถเทรลเลอร์ของพวกเขา และบางซีนเขาก็จะให้ผมลองตั้งกล้องเองอีกด้วย แถมการกลับไปเป็นเด็กนักเรียนเกรด 7 ในชีวิตจริงก็เป็นเรื่องที่เครียดมากสำหรับผม
(มีนาเข้าไปกอดแม็กซ์)
มอลลี: การถ่ายทำซีรีส์หรือภาพยนตร์เป็นอะไรที่มาพร้อมหลักการที่เป๊ะมาก คุณรู้ว่าต้องทำอะไรหนึ่ง สอง สาม สี่ ซึ่งทุกคนก็จะเริ่มสนิทกันอย่างรวดเร็วและตัดขาดกันไม่ได้ แต่พอคุณโตขึ้นคุณก็จะปล่อยวางได้ง่ายขึ้น
โทบี: เหมือนที่มอลลีพูด ยิ่งคุณโตขึ้นคุณก็จะปล่อยวางได้มากขึ้น แต่สิ่งที่ผมคิดถึงจากนักแสดงกลุ่มนี้ก็คือช่วงเวลาที่เราได้เล่นหยอกล้อกันช่วงเทกต่างๆ เพราะการถ่ายทำซีรีส์แบบนี้มันใช้พลังเยอะมากและเหนื่อยมาก แต่ถ้าคุณหาความสุขกับมัน คุณก็จะรู้ว่าโชคดีขนาดไหนที่ได้มาทำงานนี้
* Lost in Space ทั้ง 10 ตอน เริ่มฉายทาง Netflix วันที่ 13 เมษายนนี้
* ตัวอย่างซีรีส์ Lost in Space
Photo: Courtesy of Netflix
Lost in Space ที่ประพันธ์โดยเออร์วิน อัลเลน (Irwin Allen) เคยสร้างมาแล้ว 2 เวอร์ชัน โดยครั้งแรกในปี 1965 เป็นซีรีส์ฉายทางช่อง CBS จำนวน 3 ซีซัน ส่วนอีกเวอร์ชันเป็นภาพยนตร์ในปี 1998 ของค่าย New Line Cinema กำกับโดย สตีเฟน ฮอปกินส์ (Stephen Hopkins)
Lost in Space เวอร์ชัน 1965
Lost in Space เวอร์ชัน 1998