เมื่อผู้คนงดการเดินทางออกจากบ้านหรือออกจากบ้านน้อยลงในช่วงโควิด-19 ระบาด ผลที่ตามมาจึงพลอยทำให้ธุรกิจ ‘เครื่องสำอาง’ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย โดยล่าสุด L’Oréal Group ได้ออกมาเปิดเผยรายงานผลประกอบการครึ่งปีแรก 2563 โดยพบว่าบริษัทมีรายได้จากการขายรวมทั้งสิ้น 13,076 ล้านยูโร หรือราว 4.8 แสนล้านบาท ลดลงจากปีที่แล้ว 11.7%
เมื่อจำแนกผลประกอบการของ L’Oréal Group ตามประเภทผลิตภัณฑ์ จะพบว่ารายได้จากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มช่างผมมืออาชีพ (Professional Products) ที่ใช้ภายในร้านเสริมความงาม ธุรกิจเสริมสวย เป็นสินค้าที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดเนื่องจากการระบาดโควิด-19 ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องปิดกิจการชั่วคราว โดยมีรายได้ลดลงไปมากถึง 21.3%
ตามมาด้วยแผนกผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง (L’Oréal Luxe) ที่มียอดขายลดลงราว 16.8% และแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภค (Consumer Products) ซึ่งมียอดขายลดลงประมาณ 9.4%
โดยแบรนด์ในแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคที่ได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัดคือ Maybelline New York และ NYX Professional Makeup ส่วนผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ ในแผนกยังถือว่าคงตัว ขณะที่สินค้าในกลุ่มเวชสำอาง (Active Cosmetics) เป็นผลิตภัณฑ์เพียงกลุ่มเดียวที่มีการเติบโตสวนทางกับสินค้าในแผนกอื่นๆ เนื่องจากมียอดขายเติบโตขึ้น 9%
ฌอง-ปอล แอกง ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ L’Oréal กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ภายใต้วิกฤตการระบาดของโรคโควิด-19 L’Oréal Group ได้แสดงศักยภาพในการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี โดยสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้คือการดูแลสุขภาพและสวัสดิภาพของพนักงานทั่วโลก ช่วยเหลือคู่ค้าและซัพพลายเออร์ด้วยการชะลอหนี้และอำนวยความสะดวกด้านการเงิน ควบคู่ไปกับสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โดยหนึ่งในนั้นคือการช่วยบริจาคเจลแอลกอฮอล์และครีมทามือกว่า 15 ล้านขวด
“ในครึ่งปีหลัง L’Oréal ยังมุ่งดำเนินธุรกิจเต็มกำลังภายใต้ความมุ่งมั่นที่มาพร้อมความโปร่งใส ความมั่นใจ และการปรับตัว บริษัทต้องโปร่งใสในการดำเนินงานทุกด้านเพราะวิกฤตโรคระบาดยังคงดำเนินต่อไป ขณะเดียวกันก็ยังคงมั่นใจในศักยภาพของบริษัท เพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงาม การหาซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ จากจุดจำหน่ายจะง่ายขึ้น และอีคอมเมิร์ซจะยังคงเป็นหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นต่อจากนี้
“ท้ายที่สุดคือการปรับตัว โดยบริษัทมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และขับเคลื่อนธุรกิจในด้านต่างๆ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรธุรกิจค้าปลีก เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อความสวยความงามอีกครั้ง และ L’Oréal มุ่งมั่นที่จะทำกำไรให้สูงกว่าตลาดความงามเมื่อสถานการณ์ด้านสุขอนามัยเอื้ออำนวยมากยิ่งขึ้นและทำผลกำไรอันน่าพึงพอใจต่อไป”
ถึงแม้ว่าผลประกอบการและยอดขายโดยรวมของ L’Oréal Group จะไม่เป็นที่น่าพึงพอใจมากนัก แต่หากมองในเชิง ‘การปรับตัว’ ของช่องทางการจำหน่ายสินค้าก็จะพบว่าพวกเขาสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้อย่างน่าสนใจ เนื่องจากช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของบริษัทในทุกตลาดมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องที่ราว 65%
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์