ประเทศไทยเริ่มเคลื่อนตัวออกห่างจากการใช้ถ่านหินและน้ำมัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนให้ได้ภายในปี 2593 การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานสำหรับก๊าซธรรมชาติเหลวหรือที่เรียกว่าก๊าซ LNG ซึ่งถึงแม้ว่าจะสะอาดกว่าถ่านหิน แต่ก๊าซ LNG ก็ยังเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิล และนักวิชาการได้พยายามเตือนว่าการผลิตและขนส่งก๊าซ LNG เป็นส่วนหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
Sayed Anees Haider Zaidi ศาสตราจารย์อาคันตุกะของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอร์ซอได้ทำการศึกษาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของภาคพลังงานในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยศาสตราจารย์ Syed กล่าวว่า “หากเราเพิ่มกำลังการผลิตก๊าซ LNG สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเราไปสู่โลกก็มากขึ้นด้วย”
พื้นที่ชายฝั่งภาคตะวันออกในจังหวัดระยอง ซึ่งมีการเติบโตของก๊าซ LNG กำลังได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม โดยนักรณรงค์ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเบนความสนใจมาที่พลังงานหมุนเวียนแทน
การผลักดันก๊าซ LNG ในประเทศไทย
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนกระแสไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนที่ 74% ของการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2593 จาก 15% ในเดือนเมษายน ปี 2568 อ้างอิงจากรายงานประจำปี 2568 ของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy) ประเทศไทยเป็นผู้บริโภคก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ประเทศอาเซียน โดยนำไปใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า
หน่วยงานสถิติและวิเคราะห์พลังงานของกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกาหรือ US Energy Information Administration (EIA) ได้อธิบายว่าก๊าซธรรมชาติมีส่วนประกอบหลักคือก๊าซมีเทน ซึ่งสกัดจากทรัพยากรสำรองใต้ดิน แล้วนำมาแปลงเป็นก๊าซ LNG เพื่อให้ขนส่งได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยนำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งถึงแม้ว่าก๊าซธรรมชาติจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าน้ำมันหรือถ่านหิน แต่การผลิตและการใช้ก๊าซ LNG ก็ยังเป็นความเสี่ยงร้ายแรงต่อสภาพแวดล้อม
วิฑูรย์ เพิ่มพงศาเจริญ จากเครือข่ายพลังงานเพื่อนิเวศวิทยาแม่น้ำโขง (Mekong Energy and Ecology Network) ได้เล่าให้ Dialogue Earth ฟังว่า ปริมาณก๊าซ LNG ที่มีอยู่ในอ่าวไทยและเมียนมาลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากทรัพยากรที่ลดลง รวมทั้งปัญหาความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ในเมียนมา ไทยจึงพึ่งพาการนำเข้าจากพื้นที่อย่างตะวันออกกลางมากขึ้น
ศูนย์พลังงานอาเซียนรายงานว่า แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยสำหรับปี 2561 – 2580 ส่งเสริมการผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติเพื่อคงซึ่งเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะเทคโนโลยีพลังงานสะอาดนั้นมีราคาสูงและยังขาดการลงทุน โดยในขณะที่ไทยทำการก่อสร้างและลงทุนในพลังงานลมและแสงอาทิตย์ ก๊าซธรรมชาติเป็นทางเลือกมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในการลดการใช้พลังงานถ่านหิน ซึ่งสร้างความเสียหาย
Gary Arances ผู้อำนวยการ Center for Energy, Ecology, and Development (CEED) มีมุมมองว่า ก๊าซ LNG ถูกวางให้เป็นพลังงานชั่วคราวสำหรับเปลี่ยนผ่าน และหลายๆ ประเทศมองว่าก๊าซธรรมชาติเป็นพลังงานที่เหมือนสะพานนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านยังพลังงานหมุนเวียนในที่สุด
ผลกระทบที่เกิดกับจังหวัดระยอง
จังหวัดระยองได้กลายเป็นศูนย์กลางของยุทธศาสตร์ด้านพลังงานที่ก๊าซ LNG นำเข้าจะถูกนำมาแปรสภาพกลับมาเป็นก๊าซอีกครั้งหนึ่ง
สถานีก๊าซ LNG สองแห่งตั้งอยู่ที่นี่ โดยสถานีหนึ่งดำเนินการโดยบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และอีกแห่งหนึ่งเป็นการบริหารร่วมกันระหว่าง ปตท. และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ระยองยังเป็นที่ตั้งของโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงและสถานประกอบการปิโตรเคมี โดยเป็นส่วนหนึ่งของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นเขตอุตสาหกรรมพิเศษที่ระเบียบข้อบังคับมีความผ่อนปรน เพื่อเป็นการกระตุ้นการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเทคโนโลยีชีวภาพ
สมนึก จงมีวศิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ EEC Watch เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมเล่าว่าระยองเป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่การมีอุตสาหกรรมกระจุกตัวหนาแน่นนั้นต้องแลกมาด้วยหลายสิ่ง ทั้งน้ำมันรั่ว มลพิษทางอากาศ การปนเปื้อนของน้ำและของเสีย ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อชุมชนท้องถิ่น และทำให้หลายๆ คนกังวลว่าการผลิตก๊าซธรรมชาติที่มากขึ้นจะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก
“ชาวระยองต้องเผชิญชะตากรรมนี้มากว่า 30 ปีแล้ว ทั้งมลพิษทางอากาศและน้ำที่เลวร้าย การรั่วไหลของน้ำมัน และการกำจัดของเสียอันตรายอันเป็นผลมาจากการเติบโตของพลังงานฟอสซิลที่ไม่มีการควบคุม”
จริยา เสนพงศ์ หัวหน้างานรณรงค์เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานของกรีนพีซ ประเทศไทยกล่าวในแถลงการณ์ว่า “ชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นชาวประมงและชาวไร่ชาวนา พบว่าสุขภาพของพวกเขาย่ำแย่ลง ความเป็นอยู่ถูกทำลาย และ [ชีวิต] ของพวกเขาถูกคุกคาม”
นอกจากความเสียหายแล้ว ยังมีแผนการที่จะติดตั้งกังหันก๊าซและสร้างสถานีก๊าซ LNG แห่งที่สามในบริเวณเมืองของมาบตาพุดภายในปี 2572 ด้วย
“หากเราขยายก๊าซฟอสซิล ทั้งจากโรงไฟฟ้าและสถานีก๊าซ LNG มากเพียงใด เราก็จะพบว่าชุมชนท้องถิ่นในพื้นที่ต้องเผชิญกับภัยคุกคามใหม่ๆ มากขึ้น” เป็นคำกล่าวของธารา บัวคำศรี ที่ปรึกษาของกรีนพีซ ประเทศไทย
มลพิษทางอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพ
สถานี LNG สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายทาง โดยการก่อสร้างแรกเริ่มส่งผลต่อชีวิตของสัตว์น้ำ และเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรั่วไหลของก๊าซ โดยเฉพาะมีเทน จากรายงานของ Rocky Mountain Institute มีเทนมีอานุภาพมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่าในช่วงเวลาของการสะสมตลอด 20 ปี ซึ่งระยองเผชิญกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วมาแล้วในอดีต
เรือในปฏิบัติการทำความสะอาดน้ำมันนอกชายฝั่งจังหวัดระยองจากเหตุท่อรั่วในปี 2556
ภาพ: Associated Press/Alamy
Gary Arances กล่าวว่า จำนวนเรือขนส่งก๊าซที่เพิ่มขึ้นยังสร้างมลพิษทางเสียง รบกวนการใช้ชีวิตของสัตว์น้ำ และความเป็นไปได้ที่น้ำจะปนเปื้อน โดยได้ย้ำถึงการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ที่จัดทำขึ้นในหลายประเทศว่าการพัฒนาของอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติทำให้มลพิษเกินค่าจำกัดของพื้นที่อนุรักษ์สัตว์น้ำ
สมนึกเชื่อว่ามลพิษและการปนเปื้อนได้มีส่วนทำให้สัตว์น้ำในระยองลดจำนวนและขนาดลง ส่งผลให้ชาวประมงในจังหวัดมีผลประกอบการที่ลดลงเป็นอย่างมากและทำให้พวกเขาต้องหางานใหม่
พื้นที่นี้ได้กลายเป็นพื้นที่แห่งมลพิษและกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์อะโกด้าจะจัดอันดับให้ระยองเป็นหนึ่งในลำดับต้นๆ ของจุดมุ่งหมายในเอเชียสำหรับการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ แต่สมนึกเชื่อว่านักท่องเที่ยวภายในประเทศจำนวนมากเลือก “ไปเที่ยว พัทยา ตราด หรือภูเก็ตแทน”
ความเสี่ยงต่อสุขภาพก็เป็นอีกข้อกังวลหนึ่ง “โรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลเป็นหนึ่งในผู้ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศหรือ PM2.5 เพราะโรงไฟฟ้าเหล่านี้ปล่อยไนโตรเจนไดออกไซด์ซึ่งเป็นมลพิษจากกระบวนการเผาไหม้” ธารากล่าว และเขาเชื่อว่า การสัมผัสสารเคมีเป็นต้นตอของอัตราการพบโรคมะเร็งที่สูงขึ้นในพื้นที่ การเผชิญกับ PM2.5 สัมพันธ์กับโรคมะเร็งหลายชนิด “ผู้คนสัมผัสกับสารก่อมะเร็งในการใช้ชีวิตประจำวัน” ธารากล่าว
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศย้ำว่า บริษัทต่างๆ ในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยสารเคมีที่เป็นพิษต่อสาธารณชน
“เรามีข้อบังคับที่เรียกร้องให้มีการวัดความหนาแน่นของมลพิษทางอากาศและทางน้ำของสารบางประเภท แต่ความหนาแน่นนั้นแทบไม่บอกอะไร [เรา] เลยเกี่ยวกับระดับและปริมาณของการปล่อยสารเคมีที่เป็นพิษหลายร้อยชนิดที่ปล่อยลงสู่สภาพแวดล้อม” สิ่งที่เพ็ญโฉมกล่าวหมายความว่ามลพิษที่มีระดับความเป็นพิษต่ำสามารถปล่อยสารพิษในระดับสูง โดยไม่จำเป็นต้องสำแดง
หลายปีที่ผ่านมาชุมชนในระยองได้ประท้วงและทำการฟ้องร้องรัฐบาล เพื่อให้ปกป้องผืนดินของพวกเขา ทั้งจากการแสวงหาประโยชน์ในอนาคตและการปกป้องสุขภาพของพวกเขา คดีความหนึ่งที่เกิดขึ้นในปี 2552 ได้ทำให้โครงการอุตสาหกรรมสองโครงการต้องหยุดลง เนื่องจากขาดการประเมินผลกระทบทางสุขภาพอย่างเพียงพอ และผลักดันให้รัฐบาลศึกษาปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ แต่ก็ไม่อาจหยุดโครงการอีกกว่าสิบโครงการ โดยส่วนมากเป็นโครงการที่มีการสนับสนุนจากต่างประเทศ ในปี 2564 บริษัท China Petroleum Pipeline Bureau Engineering และ China Petroleum Engineering ได้ชนะการประมูลที่จะดำเนินการแทนที่โรงผลิตก๊าซ LNG แห่งที่หนึ่งขึ้นมาใหม่ ปตท. เองยังมองหาโอกาสที่จะค้าก๊าซ LNG เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่มากขึ้นจากจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย สถานีก๊าซ LNG ปัจจุบันจัดหาก๊าซให้กับโรงไฟฟ้าที่ลงทุนโดยญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนขนาดใหญ่ของการผลิตก๊าซ LNG ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เบนเส้นทางสู่พลังงานหมุนเวียน
แทนที่จะลงทุนในก๊าซธรรมชาติให้มากขึ้น นักรณรงค์ต่างเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาให้ความสนใจพลังงานหมุนเวียน
Garry Arances อ้างถึงผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่าประเทศต่างๆ สามารถมุ่งตรงไปที่พลังงานหมุนเวียนได้เลย แทนที่จะให้ความสำคัญกับพลังงานเปลี่ยนผ่านจากถ่านหินไปสู่ก๊าซธรรมชาติ แล้วค่อยต่อไปยังพลังงานหมุนเวียนอีกที ซึ่งเรื่องนี้ “ควรเป็นวาระแห่งการพัฒนาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
“ดวงอาทิตย์ยังคงส่องสว่างอยู่เสมอ จึงเป็นเรื่องที่น่าฉงนนักว่าทำไมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงไม่นำทรัพยากรนี้มาใช้ [ให้มากขึ้น] ซึ่งไม่เพียงแต่พลังงานแสงอาทิตย์เท่านั้น พลังงานลมก็มีเหลือเฟือ…บางประเทศมีพลังงานความร้อนใต้พิภพสูง บางประเทศมีพลังงานน้ำมาก” Garry Arances กล่าว
กลุ่มต่างๆ อย่างมูลนิธิบูรณะนิเวศได้ผลักดันรัฐบาลให้จัดทำกฎหมายการรายงานและเปิดเผยการปลดปล่อยและเคลื่อนย้ายมลพิษที่จะบังคับให้บริษัทรายงานปริมาณของสารเคมีที่ปล่อยสู่สาธารณะ “หากเรารู้ว่าโรงงานหลายร้อยแห่งในระยองกำลังปล่อยสารพิษมากกว่าความสามารถที่พื้นที่จะรองรับไหว ก็จะทำให้รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลควบคุมและแก้ปัญหา [ได้ง่ายขึ้น]” เพ็ญโฉมกล่าว
ศาสตราจารย์ Syed ยังเสริมอีกว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับมีเทนที่เคร่งครัดยิ่งขึ้นนั้นจำเป็น “หากเราเชิญชวนบริษัทจีน ญี่ปุ่นหรือประเทศอื่นๆ เราก็ควรแจ้งพวกเขาว่า ‘หากคุณมีแผนการที่จะขุดเจาะในไทยหรือจะส่งออกก๊าซธรรมชาติ เรามีมาตรฐานการปล่อยสารต่างๆ ที่คุณจะต้องปฏิบัติตาม’ ”
สมนึกยังเสนอทางออกที่เด็ดขาดกว่านั้นคือหยุดการก่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมดและยกเลิกกฎเกณฑ์พิเศษทางเศรษฐกิจของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่ปล่อยให้บริษัทต่างๆ ทำลายสภาพแวดล้อม “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกควรเลิกทำเช่นนี้…และไม่ควรมีเขตเศรษฐกิจพิเศษแบบนี้ในประเทศไทยอีกเลย”
เรื่อง: กริสรินทร์ จูงศิริวัฒน์
อ้างอิง: