ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนครับว่า การพบกันระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซีจะจบลงด้วยสกอร์ที่ขาดลอยถึง 6-0
มันไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างและห่างชั้นระหว่างทีมที่เคยเป็นมหาอำนาจใหม่ของวงการฟุตบอลอังกฤษอย่างเชลซี กับทีมมหาอำนาจตัวจริงในปัจจุบันอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หากแต่ยังแสดงให้เราทุกคนได้เห็นว่า ระดับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของทีมที่อยู่ภายใต้การนำโดย เป๊ป กวาร์ดิโอลา นั้นสูงส่งเพียงไหน
พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่กำแพงสีฟ้า เพราะฟอร์มที่เห็นไม่ใช่เพียงเฉพาะนัดนี้ที่ถล่มเชลซีอย่างราบคาบ แต่รวมถึงเกือบทุกนัดนับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2019 เป็นต้นมา สิ่งที่น่าจะเปรียบเทียบได้ดีกว่าคือเทือกเขายักษ์ที่สูงตระหง่านเทียมฟ้า
หากคิดจะไปให้สูงกว่าคือต้องไปให้ถึงในระดับมือสามารถแตะขอบฟ้า
คำถามคือ ลิเวอร์พูล และอาจรวมถึงท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่ยังคงอยู่ในเส้นทางจะไปได้ไกลถึงไหนกัน
แกรี เนวิลล์ อดีต Class of ’92 ที่ผ่านร้อนและหนาวมามากมายในเรื่องของการลุ้นแชมป์ ยอมรับว่าการขับเคี่ยวแย่งแชมป์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็น ‘ของจริง’ ที่เราทุกคนสามารถสัมผัสความรู้สึกนี้ได้อย่างแท้จริง และเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ที่มีการพูดถึงกัน
ก่อนนี้จนถึงช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมา ทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ถูกมองและปฏิบัติด้วยความรู้สึกของทีมที่เป็น Underdog ที่สายตาจะหมายปองไปที่ฟ้า แต่ยังไม่กล้าที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างชัดๆ
แต่ผ่านเดือนแรกไป ความได้เปรียบทีละเล็กละน้อยที่สะสมมาทำให้พวกเขาเริ่ม ‘กล้า’ ที่จะพูดมันออกมาถึงสิ่งที่ปรารถนา และเป็นสิ่งที่ปรารถนามานานกว่า 29 ปี
จนกระทั่งถึงนัดที่ผ่านมา ซึ่งลิเวอร์พูลประกาศจุดยืนให้ได้ยินกันชัดๆ ว่าพวกเขาจะสู้กับโคตรทีมอย่างซิตี้ในการเบียดแย่งแชมป์ในฤดูกาลนี้ด้วยชัยชนะที่เด็ดขาดและฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงเหนือบอร์นมัธ
เป็นสัญญาณการเปิดศึกที่ดังและกังวานไปทั่ว
‘หงส์แดง’ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (9 ก.พ.) คลายข้อสงสัยในบางเรื่องที่ถูกตั้งคำถามจากความผิดและพลาดจนทำให้ทิ้งความได้เปรียบบางส่วนในการแข่งขันกับซิตี้ ด้วยผลเสมอต่อเลสเตอร์และเวสต์แฮมใน 2 เกมก่อนหน้า ด้วยการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
บอร์นมัธ ภายใต้การนำของ เอ็ดดี ฮาว อาจเป็นขนมหวานสำหรับลิเวอร์พูล ด้วยระบบและสไตล์การเล่นที่เข้าทาง รวมถึงการขาดผู้เล่นแกนหลักไปเกือบครึ่งทีม แต่เป็นฟอร์มของผู้เล่นในชุดแดงหลายคนที่น่าประทับใจ ตั้งแต่ จอร์จินโญ ไวจ์นัลดุม, ฟาบินโญ, เจมส์ มิลเนอร์ เรื่อยไปจนถึง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ผู้ไม่เคยหยุดวิ่ง
นาบี เกอิตา ไอ้หนูกองกลางที่เคยถูกคาดหวังมากที่สุดและเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่แฟนบอลผิดหวังมากที่สุดในฤดูกาลนี้ก็กลับมาเล่นในระดับที่พอมองเห็นอนาคต
เหนืออื่นใด 3 ประสานในแดนหน้า SMF โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ซาดิโอ มาเน และ โรแบร์โต เฟอร์มิโน ต่างดูเริ่มกลับคืนสู่ฟอร์มที่เคยทำให้พวกเขาเป็นแนวรุกที่น่าเกรงขามที่สุดชุดหนึ่งของอังกฤษและยุโรปเมื่อปีที่แล้ว
โดยเฉพาะซาลาห์ที่ไม่เพียงทำประตูได้ แต่ยังมีส่วนร่วมในการทำลายและฉีกแนวรับของบอร์นมัธจนขาดวิ่น และปรากฏรัศมีความน่ากลัวบางอย่างที่ชวนให้คิดถึงช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเขาในช่วง 3-4 เดือนสุดท้ายของฤดูกาล 2017-2018
หลังจากนี้มีความเป็นไปได้ที่คลอปป์จะหันกลับมายึดระบบการเล่น 4-3-3 และสไตล์การเล่นที่ดุดันแบบเดิมที่พวกเขาทำได้ดีที่สุดไปจนจบฤดูกาล เพราะไม่มีประโยชน์มากนักที่จะยึดระบบ 4-2-3-1 ที่เด่นเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อนอีกแล้ว
ในการสู้กับคู่แข่งอย่างซิตี้ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือใส่ให้เต็มที่ เพื่อไม่ให้เหลืออะไรให้เสียใจอีก
อย่างน้อยพวกเขายังเหลือเกมอีก 1 นัดในมือ ที่ต่อให้จะแปรเปลี่ยนเป็นเพียงแค่ 1 คะแนน นั่นก็ยังมากพอที่จะทำให้พวกเขาเป็นผู้ชนะในสงครามที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้
แต่นั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดในอีก 12 นัดที่เหลือด้วย จึงจะก้าวข้าม ‘เรือใบสีฟ้า’ ได้
แกรม ซูเนสส์ อดีตกองกลางระดับตำนาน และเคยเป็นอดีตผู้จัดการทีม (ที่แฟนชังมากที่สุดคนหนึ่ง) ของลิเวอร์พูล โยนความกดดันให้คลอปป์และทีมของเขาด้วยการบอกว่า ลิเวอร์พูลจำเป็นต้องชนะให้ได้หมดทั้ง 12 นัดที่เหลือหากต้องการเป็นแชมป์
คำกล่าวนี้เหมือนจะเป็นการพูดที่พล่อย ใครก็พูดได้ว่าก็ชนะทุกนัดที่เหลือสิ อย่างไรก็เป็นแชมป์แน่ เพราะมีคะแนนมากกว่า แต่ลึกๆ แล้วที่ซูเนสส์พูดเช่นนั้นเพราะสิ่งที่เขาได้เห็นในเกมล่าสุดจากเอติฮัด สเตเดียม มันไม่สามารถทำให้เขาคิดเป็นอื่นได้
จะมีทีมใดที่หยุดทีมที่มีระบบการเล่นที่ดีที่สุด มีนักฟุตบอลที่สร้างสรรค์เกมและสร้างความแตกต่างให้เกมการแข่งขันได้มากมายที่สุด และมีกองหน้าที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
เหนือกว่านั้นคือ พวกเขามีประสบการณ์และมีผู้จัดการทีมที่เก่งกาจที่สุดของโลกในเวลานี้
ซูเนสส์มองเห็นความแตกต่างระหว่างฟอร์มของลิเวอร์พูลในเกมกับบอร์นมัธและซิตี้ที่ถล่มเชลซี ซึ่งเป็นฟอร์มการเล่นที่เป็นการให้คำตอบกลับต่อคู่แข่งว่า นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญไปอีกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงเสียงนกหวีดสุดท้ายของฤดูกาล
ความจริงผลงานของลิเวอร์พูลเองมีส่วนไม่น้อยในการเปลี่ยนซิตี้ให้กลายเป็นทีมที่ดีขึ้นกว่าเดิม
จากเดิมที่เคยคิดว่าชัยชนะนั้นได้มาอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงฤดูกาลที่แล้วที่แทบไม่มีการขับเคี่ยวใดๆ ในเส้นทางสู่แชมป์ลีกสมัยแรกของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา มาถึงในฤดูกาลนี้พวกเขาต้องเจอกับลิเวอร์พูล ทีมที่อาจจะไม่เก่งที่สุดแต่แกร่งมากที่สุดและเต็มไปด้วยความเชื่อที่เพิ่มพูนขึ้นจากนัดสู่นัด
มันกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาไม่เพียงเฉพาะกับเป๊ป แต่รวมถึงลูกทีมของเขาทุกคนที่ถูกกระตุ้นให้ทำผลงานให้ดีที่สุดด้วยการเล่นที่จริงจังมากที่สุด
ต่อให้วันนั้นต้องชนะแบบ Win ugly หรือชนะแบบน่าเกลียดก็ไม่เป็นไร
จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดอยู่ที่ชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลเมื่อ 4 มกราคม ซึ่งเป็นเกมที่ถูกพูดถึงกันมากว่าเป็นเกมที่จะกำหนดทิศทางของการลุ้นแชมป์ โดยสถานการณ์วันนั้นลิเวอร์พูลนำอยู่ 7 แต้ม และหากพวกเขาชนะก็จะทิ้งห่างเป็น 10 แต้ม โอกาสในการเข้าป้ายที่หนึ่งถือว่าสูงมาก
แต่ซิตี้ได้แสดงให้เห็นถึงเลือดนักสู้ที่ร้อนแรง สามารถเฉือนเอาชนะคู่แข่งสำคัญได้ในที่สุด
พวกเขาอาจพลาดพ่ายในเกมกับนิวคาสเซิล แต่มันเป็นเพียงการสะดุดก้าวเล็กๆ เมื่อเทียบกับผลงานรวมนับจากเข้าศักราชใหม่เป็นต้นมา ไม่มีทีมใดจะร้อนแรงและน่ากลัวไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ด้วยคุณภาพของผู้เล่นอย่าง เควิน เดอ บรอยน์, ดาบิด ซิลบา, แบร์นาโด ซิลวา, ราฮีม สเตอร์ลิง, เลรอย ซาเน, แฟร์นันดินโญ, กาเบรียล เฆซุส และ เซร์จิโอ อเกวโร เมื่อนักฟุตบอลเหล่านี้อยู่ในโหมด ‘เอาจริง’ แล้วก็ยากที่ใครจะหยุดได้
แม้กระทั่งเชลซีซึ่งเป็นทีมแรกในฤดูกาลนี้ที่เอาชนะพวกเขาได้อย่างเด็ดขาดเมื่อเดือนธันวาคม ก็ถูกถล่มยับเยินที่สุดแบบไม่เคยปรากฏมาก่อนนับตั้งแต่เข้าสู่ประวัติศาสตร์ยุคพรีเมียร์ลีก
สำหรับ เจมี คาร์ราเกอร์ หนึ่งในตำนานแห่งแอนฟิลด์ เคยบอกว่าการขับเคี่ยวระหว่างลิเวอร์พูลและซิตี้ (และอาจรวมถึงสเปอร์ส) นับจากนี้จะยังมีจุดพลิกผันที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นอีกมาก แต่ละทีมจะต้องมีเกมที่ผิดพลาดและทำคะแนนหล่นหาย
เพียงแต่ในสถานการณ์เวลานี้ ซิตี้เก็บแต้มได้หมดทุกนัดใน 3 เกมยากจากอาร์เซนอล เอฟเวอร์ตัน และเชลซี พวกเขาไม่แสดงให้เห็นว่าจะมีความผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น
จึงอยู่กับลิเวอร์พูลที่จะมีช่วงที่ยากหลังจากนี้กับเกม ‘แดงเดือด’ เยือนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รับมือวัตฟอร์ด และไปเยือนเอฟเวอร์ตัน ในเกมเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี
คาร์ราเกอร์มองว่ามันคือช่วงเวลาที่ลิเวอร์พูลจะต้องตอบคำถามว่า พวกเขาจะยังอยู่ในเส้นทางและขับเคี่ยวต่อไปหรือไม่
ถ้าตอบคำถามได้สวยด้วยการชนะทั้งหมดและรักษาจ่าฝูงได้ เกมจะเปลี่ยนไปเป็นทางซิตี้ที่ต้องหาคำตอบคืน
และเป็นไปได้ที่มันจะเป็นเช่นนี้ไปจนจบฤดูกาล
แต่บางทีวิธีคิดที่ดีที่สุดสำหรับทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้อาจไม่ใช่เรื่องของการโยนความกดดันกันไปมา
คู่แข่งตัวจริงที่น่ากลัวที่สุดคือตัวของพวกเขาเอง และทีมที่จะหยุดพวกเขาได้ก็มีแต่จิตใจที่อ่อนแอเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ยินดีต้อนรับสู่ศึกสงครามการขับเคี่ยวแย่งแชมป์ที่เข้มข้นที่สุดฤดูกาลหนึ่งของพรีเมียร์ลีก
ด้วยหัวใจที่เต้นระรัวครับ
ภาพ: Reuters Connect
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ครบ 4 รายการ โดยพวกเขาจะพบกับเชลซีอีกครั้งในนัดชิงลีกคัพปลายเดือนนี้ นอกจากนี้คือเอฟเอ คัพ, ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก และพรีเมียร์ลีก
- ลิเวอร์พูลเหลือลุ้นแค่ 2 รายการคือ แชมเปี้ยนส์ลีกและพรีเมียร์ลีก
- สเปอร์สเป็นหนึ่งในทีมที่อาจช่วยตัดสินแชมป์ในฤดูกาลนี้ เพราะมีโปรแกรมที่จะต้องพบกับทั้งลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยถึงจะไปเยือนทั้งสองนัด แต่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ทีมที่มีศักยภาพสูงพอจะหยุดสองทีมนำได้
- แฮตทริกของ เซร์คิโอ อเกวโร ในเกมชนะเชลซี 6-0 ทำให้เขาทำแฮตทริกในพรีเมียร์ลีกได้ 11 ครั้ง เป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลเทียบเท่า ‘ฮอตช็อต’ อลัน เชียเรอร์ และยังทำให้ขึ้นมาเป็นดาวซัลโวร่วมกับ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ ที่ 17 ประตูเท่ากัน
- นอกจากนี้อเกวโรยังกลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาล (นับเฉพาะในลีก) ของซิตี้ด้วย โดยทำไป 160 ประตู แซงหน้า ทอมมี จอห์นสัน (1919-1930) และเอริค บรูค (1928-1939) ตำนานรุ่นเดอะเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน
- หากแมนเชสเตอร์ ซิตี้คว้าชัยชนะได้ทุกนัดที่เหลือ พวกเขาจะทำได้ 98 คะแนน ไม่สามารถแซงสถิติที่เคยทำไว้ 100 คะแนนเมื่อปีกลายได้
- ชัยชนะ 6-0 เหนือเชลซี ทำให้ผลต่างประตูได้เสียของซิตี้ขยับหนีห่างลิเวอร์พูลเป็น 10 ประตู (54-44) โดย เป๊ป กวาร์ดิโอลา เคยกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะตัดสินแชมป์ฤดูกาลนี้ด้วยผลต่างประตูได้เสีย