×

‘แดงเดือด 2023’ จุดเปลี่ยนหรือจุดจบของหงส์แดง?

05.03.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 MIN READ
  • เกมแดงเดือดหนแรกของฤดูกาล 2022/23 จบลงด้วยชัยชนะของแมนฯ ยูไนเต็ด ที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง
  • ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2020/21 ลิเวอร์พูลเจอช่วงเวลาที่มืดมนอนธการ แต่สุดท้ายพวกเขาค่อยๆ หาทางกลับมาได้อีกครั้ง โดยหนึ่งในเกมที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญก็คือวันที่บุกไปเอาชนะยูไนเต็ดได้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด
  • คาเซมิโร และ มาร์คัส แรชฟอร์ด คือสองตัวโหดของฝั่งปีศาจแดงที่ลิเวอร์พูลต้องหาทางหยุดให้ได้
  • นักเตะที่น่าจับตามองที่สุดของหงส์แดงในตอนนี้ คือนักเตะที่เคยถูกแซวหนักว่าเป็นการลงทุนที่เสียเปล่าอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งในระยะหลังกลายเป็นคนที่ทีมแทบจะขาดไม่ได้แล้วในเกมรุก

หากจะมีใครบอกหลังจบเกมที่ลิเวอร์พูลถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-0 ที่แอนฟิลด์เมื่อเดือนเมษายนปีกลาย และยังอยู่ในระหว่างการลุ้น 4 แชมป์ (Quadruple) ว่าในอีก 1 ปีถัดมา ทุกอย่างจะกลับตาลปัตรตรงกันข้ามว่า ‘ปีศาจแดง’ จะกลับมาเป็นทีมลุ้น 4 แชมป์ และ ‘หงส์แดง’ จะอยู่ในสภาพที่ไม่เหลือสภาพบ้าง

 

คนที่พูดอาจจะโดนมองด้วยสายตาที่เย็นชาได้ เพราะมันดูไม่น่าจะมีโอกาสเป็นความจริงได้เลยสักนิด

 

แต่ชีวิตก็เป็นแบบนี้เพราะ 1 ปีผ่านมา ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงราวกับขั้วแม่เหล็กโลกเปลี่ยนทิศ 1 ปีผ่านมาลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่หมดสภาพอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะทำใจ พวกเขาตกรอบฟุตบอลถ้วยในประเทศ หมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ทั้งลีกคัพและเอฟเอคัพ และเหลือความหวังเพียงน้อยนิดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก หลังโดนเรอัล มาดริด บุกมาถล่มถึงแอนฟิลด์ 5-2 ส่วนแชมป์พรีเมียร์ลีกเลิกฝันมาตั้งแต่ 10 นัดแรกแล้ว

 

กลายเป็นแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ตอนนี้กลับมาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยม น่าเกรงขาม กวาดแชมป์แรกในรอบ 6 ปีไปแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างเส้นทางของการลุ้น 4 แชมป์ แม้ว่าถ้วยยุโรปของพวกเขาจะเป็นใบเล็กก็ตาม

 

สิ่งที่น่าสนใจคือการกลับมาของแมนฯ ยูไนเต็ด นั้นเริ่มต้นมาจากเกม ‘แดงเดือด’ ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เมื่อช่วงต้นฤดูกาลที่ผ่านมา

 

และนั่นหมายความว่า เดอะ ค็อป ก็ย่อมมีสิทธิ์คาดหวังว่าเกมสงครามสีแดงในคืนวันอาทิตย์นี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนของพวกเขาในฤดูกาลนี้ได้เหมือนกัน?

 

 

จุดเริ่มต้นที่โอลด์แทรฟฟอร์ด

 

ย้อนกลับไปในช่วงต้นฤดูกาล สถานการณ์ของลิเวอร์พูลและแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่สู้ดีนัก ก่อนที่พวกเขาจะต้องพบกันเองอย่างรวดเร็วในนัดที่ 3 ของพรีเมียร์ลีก เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2022

 

ฝ่ายรองแชมป์พรีเมียร์ลีกทำได้แค่เสมอใน 2 นัดแรกต่อฟูแลมและคริสตัล พาเลซ ในขณะที่ฝ่ายหลังอาการหนักกว่า เพราะแพ้ต่อไบรท์ตันและเบรนท์ฟอร์ด โดยเฉพาะเกมหลังนั้นจบลงแบบหมดสภาพเลยทีเดียว

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ต่างฝ่ายจึงต้องการที่จะคว้าชัยชนะให้ได้ในเกมที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เพื่อเป็นการคิกออฟฤดูกาลเสียที

 

ในขณะที่ลิเวอร์พูลยังดูเหนือกว่าเพราะผลงานการพบกันระยะหลังค่อนข้างขี่ ในฤดูกาล 2021/22 บุกมาเอาชนะที่โอลด์แทรฟฟอร์ดถึง 5-0 และกลับไปชนะที่แอนฟิลด์ได้อีก 4-0

 

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในเกมนี้คือการที่ เอริก เทน ฮาก ผู้จัดการทีมคนใหม่ สามารถ ‘ซื้อใจ’ ลูกทีมได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ด้วยการสั่งให้ทีมมารายงานตัวฝึกซ้อมหนึ่งวันหลังแพ้เบรนท์ฟอร์ด

 

ในการซ้อมวันนั้นที่เหมือนเป็นการลงโทษที่นักเตะหลายคนแอบเคือง จบลงด้วยความรู้สึกดีๆ เมื่อกุนซือชาวดัตช์สั่งให้ทุกคนวิ่งเป็นระยะทาง 13.8 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางรวมที่นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด วิ่งน้อยกว่าเบรนท์ฟอร์ดในเกมที่แพ้แบบน่าอาย

 

โดยที่เทน ฮาก ขอลงไปวิ่งร่วมกับทุกคนด้วย ทำให้นักเตะปีศาจแดงสัมผัสได้ถึงความจริงใจและตั้งใจของผู้จัดการทีมคนใหม่

 

จุดนี้เองที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนของความรู้สึก การเตรียมตัวในสัปดาห์นั้นเป็นไปด้วยดี บรรยากาศในทีมที่เคยเน่าเฟะกลับมาสดใสอีกครั้ง และมันเห็นได้ตั้งแต่นาทีแรกที่ลงสนามเลยทีเดียวว่านักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ขอเป็น ‘ลูกไล่’ คอยไปเก็บบอลก้นตาข่ายในเวลาเจอกับลิเวอร์พูลอีก

 

และเมื่อ จาดอน ซานโช ทำประตูขึ้นนำให้ทีมได้ โอลด์แทรฟฟอร์ดที่เคยถูกปรามาสว่าเป็นสนามบอลที่ไร้จิตวิญญาณก็ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง เป็นการปลุกปีศาจด้วยปีศาจจริงๆ

 

วันนั้น มาร์คัส แรชฟอร์ด บวกได้อีกประตู ซึ่งแม้ โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ จะยิงไล่ตีตื้นมาแต่ไม่ทัน ยูไนเต็ดชนะคู่ปรับร่วมถนนสาย M62 ได้ 2-1 

 

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เคยหันหลังกลับอีกเลย

 

 

ขั้วแม่เหล็กกลับด้าน

 

สิ่งที่น่าสนใจคือหลังจบเกมแดงเดือดนัดนั้น สถานการณ์ของสองทีมกลับแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

 

ลิเวอร์พูลที่เคยเป็นทีมที่ดีที่สุดของอังกฤษเคียงข้างกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ประสบปัญหาใหญ่ในเรื่องอาการบาดเจ็บของนักเตะหลายคน แต่หนักกว่านั้นคือการที่นักเตะหลายๆ คนผลงานดรอปลงแบบใจหล่น และทีมดูจะเต็มไปด้วยปัญหาแทบทุกจุดตั้งแต่แดนหลังยันแดนหน้า

 

10 นัดแรกในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูลที่เคยเป็นเครื่องจักรสีแดงเก็บชัยชนะได้เพียงแค่ 2 นัดเท่านั้น เหนือบอร์นมัธและนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาพ่ายในศึกแดงเดือดนั่นเอง

 

และหลังจากนั้นทีมก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ ต่อเนื่อง โดยที่ปัญหานอกจากจะไม่ได้รับการแก้ไขให้หายขาด ยังกลับมาตามหลอกหลอนเรื่อยๆ โดยเฉพาะเรื่องของเกมรับที่พร้อมจะเสียประตูก่อน หรือพร้อมจะโดนยิงได้ตลอดเวลา จนอ่อนใจกันไปทั้งนักเตะและแฟนบอล

 

ในทางตรงกันข้ามแมนฯ ยูไนเต็ด กลับคืนชีพภายใต้การนำของเทน ฮาก ที่ค่อยๆ หาส่วนผสมที่ลงตัว โดยเฉพาะการได้นักเตะระดับเวิลด์คลาสอย่าง คาเซมิโร และ คริสเตียน อีริกเซน มาเติมขุมกำลังในแดนกลาง ที่แม้จะถูกมองว่าเป็นตัวเลือกที่เสียมิได้ เพราะเป้าหมายหลักอย่าง แฟรงกี เดอ ยอง ไม่ยอมย้ายมาจากบาร์เซโลนา แต่สุดท้ายแล้วลูกเก๋ากับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ชนะ ทั้งคู่กลายเป็นตัวจุดประกายของทีม

 

อีกหนึ่งคนที่กลับมาอย่างสง่างามคือ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่เคยประสบปัญหาหนักเรื่องอาการบาดเจ็บ และฟอร์มการเล่นตกจนมีข่าวว่าอาจจะย้ายไปปารีส แซงต์ แชร์กแมง แทน แต่เมื่อกลับมาจากฟุตบอลโลกก็ระเบิดฟอร์มเทพจนพาทีมผงาดได้อีกครั้ง

 

แมนฯ ยูไนเต็ด แสดงให้เห็นในหลายนัดว่าพวกเขายอดเยี่ยมแค่ไหน ซึ่งรวมถึงการเอาชนะอาร์เซนอล ชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไปจนถึงการชนะบาร์เซโลนาในศึกยูโรปาลีก และคว้าแชมป์ลีกคัพด้วยการเอาชนะนิวคาสเซิลได้อย่างสวยงาม

 

เรียกได้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างรวดเร็ว

 

 

ความหวังของหงส์แดง

 

สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่นี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่า ถ้าแมนฯ ยูไนเต็ด หาทางกลับมาได้ด้วยชัยชนะเหนือลิเวอร์พูลในศึกแดงเดือด สิ่งเดียวกันนี้จะเกิดขึ้นได้ไหมกับทีมหงส์แดง?

 

คำตอบนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่หากถามถึงความเป็นไปได้แล้วก็มี เพราะในเกมฟุตบอล สิ่งที่อาจสำคัญมากกว่าเรื่องของความสามารถและระบบการเล่นคือเรื่องของกำลังใจ

 

ที่ผ่านมาแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ได้เล่นดีทุกนัด หลายนัดพวกเขาเป็นรอง แต่อยู่ได้ด้วยกำลังใจล้วนๆ และยิ่งชนะในวันที่ยากได้มากเท่าไร ขวัญและกำลังใจก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

 

ความจริงเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้ไกลเกินตัวลิเวอร์พูลนัก ย้อนกลับไปในฤดูกาล 2020/21 ในฤดูกาลหลังจากที่พวกเขาเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จครั้งแรกในรอบ 30 ปี ทีมของคล็อปป์ประสบปัญหาวิกฤตเช่นกัน โดยเฉพาะการสูญเสียกำลังหลักในเกมรับไปจนหมดทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ และ โจเอล มาทิป

 

ในปีนั้นลิเวอร์พูลที่ไม่เคยแพ้ใครในแอนฟิลด์นานต่อเนื่องกันร่วม 4 ปี แพ้คาบ้านติดกันถึง 6 นัด เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่มืดมนอนธการอย่างแท้จริง 

 

แต่สุดท้ายพวกเขาค่อยๆ หาทางกลับมาได้อีกครั้ง โดยหนึ่งในเกมที่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญก็คือวันที่บุกไปเอาชนะยูไนเต็ดได้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งเป็นช่วงที่แมนฯ ยูไนเต็ด เหมือนจะเริ่มกลับมาดูดีกว่าเล็กน้อย

 

ดังนั้นหลังจากที่เก็บชัยชนะเหนือวูล์ฟส์ในเกมลีกนัดตกค้างเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ไม่แพ้ใครในลีก 4 นัด เป็นการชนะ 3 เสมอ 1 โดยไม่เสียประตูเลยแม้แต่ลูกเดียว

 

เกมแดงเดือดวันอาทิตย์นี้คือเป้าหมายที่ลิเวอร์พูลต้องการจะกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน

 

เพียงแต่มันจะเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ หรือ ‘จุดจบ’?

 

 

ใครจะหยุดคาเซมิโร + แรชฟอร์ด?

 

ด้วยความที่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ลิเวอร์พูลของคล็อปป์ไม่ได้เป็นทีมที่ดีกว่าแมนฯ ยูไนเต็ด ของเทน ฮาก อีกแล้ว

 

ปีศาจแดงเวลานี้ลงตัวแทบทุกตำแหน่ง ตั้งแต่แดนหลังยันแดนหน้า ไม่มีนักเตะคนไหนที่เป็นจุดอ่อนที่มีเครื่องหมายคำถามจากแฟนบอลอีก แม้แต่ เวาต์ เวกฮอร์สต์ หัวหอกยักษ์โขมดที่ถูกยืมตัวจากเบิร์นลีย์ก็กลายเป็นคีย์แมนในแนวรุกไปอีกคน ในบทกองหน้าตัวสูงที่เล่นเป็นกองหน้าตัวต่ำ เพื่อเปิดทางให้จรวดอย่างแรชฟอร์ดหรือ แอนโทนี เล่นงานคู่แข่งได้

 

แต่คนที่เป็นคีย์แมนจริงๆ ของทีมคือโคตรมิดฟิลด์อย่างคาเซมิโร ที่กลายเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีของสโมสร

 

จากคนที่ถูกมองว่าซื้อมาในราคาที่แรงเกินไป (70 ล้านปอนด์) อายุมาก (30 ปี) หมดสภาพและหมดไฟแล้วหลังกวาดแชมป์ทุกอย่างมากับเรอัล มาดริด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่กลายเป็นว่าคาเซมิโรคือคนที่แมนฯ ยูไนเต็ด ตามหามายาวนาน

 

นอกเหนือจากความเก่งกาจในเชิงการเล่นที่นอกจากเกมรับจะสุดยอด จิตใจเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง อ่านเกมได้ฉลาดยิ่งกว่า ChatGPT แถมยังเปิดเกมบุกได้ด้วยตัวเองชนิดที่หลายคนทึ่ง เพราะไม่เคยเห็นคาเซมิโรในโหมดนี้มาก่อน เขายังมีสิ่งสำคัญที่มีความหมายอย่างมาก

 

ความเป็นผู้นำ (Leadership) ของคาเซมิโรนั้น ถึงจะไม่ได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจน ถ้าจะพูดเป็นภาษาสวยๆ คือเป็น ‘The Invisible Leader’ หรือ ‘ผู้นำล่องหน’ (ชื่อหนังสือเล่มใหม่ในรอบ 8 ปีของ เคน-นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ที่กำลังจะเปิดพรีออร์เดอร์ในวันที่ 7 มีนาคมนี้) ซึ่งเป็นสิ่งที่แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่มีมานานมาก อาจย้อนกลับไปถึงยุคของ รอย คีน ได้เลยทีเดียว 

 

คำถามคือแล้วใครในทีมลิเวอร์พูลที่จะขึ้นมาบู๊กับพี่เขาได้?

 

ในทีมลิเวอร์พูลเวลานี้ แดนกลางเหลือแค่ 2 คนที่พอไหวคือ ฟาบินโญ และ สเตฟาน บายเซติช ซึ่งคนแรกนั้นฟอร์มหลุดมานาน แต่เริ่มแสดงให้เห็นว่ากำลังกลับมาเป็นคนเก่าที่คล็อปป์เคยยกย่องว่าเป็นกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดในโลก ส่วนรายหลังกลายเป็นการค้นพบแห่งฤดูกาล เพราะเก่งเกินวัย 18 ปีไปมาก และเป็นตัวหลักของทีมไปแล้วในเวลานี้

 

ฟาบินโญและบายเซติชจะต้องพยายามเอาชนะคาเซมิโรให้ได้ เพราะถ้าทำไม่ได้แล้วโอกาสของลิเวอร์พูลที่จะชนะเกมนี้จะน้อยลงไปอีก

 

อีกคนที่จะเจองานหนักมากคือ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาที่โดนถล่มหนักตลอดฤดูกาลในเรื่องเกมรับที่อ่อนหัด ซึ่งเกมนี้เขาจะต้องเจอกับกองหน้าคู่ปรับที่เคยหลอกหลอนมาแล้วในช่วงแจ้งเกิดใหม่ๆ อย่างแรชฟอร์ด

 

ถ้าเทรนต์หยุดแรชฟอร์ดไม่ได้ โอกาสที่ลิเวอร์พูลจะพังเหมือนนัดแรกที่โอลด์แทรฟฟอร์ดก็มีสูง

 

และถ้าเทรนต์คนเดียวไม่ไหว บางที อิบราฮิมา โกนาเต หรือ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน / ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ต้องช่วยด้วย เพราะถ้าหยุดไม่ได้ ตายแน่นอน

 

 

ฮีโร่ค็อปชนคนใหม่

 

แต่ลิเวอร์พูลเองก็ไม่ใช่จะไร้ความหวังเสียทีเดียว

 

นักเตะที่น่าจับตามองที่สุดของหงส์แดงในตอนนี้ คือนักเตะที่เคยถูกแซวหนักว่าเป็นการลงทุนที่เสียเปล่าอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ ซึ่งในระยะหลังกลายเป็นคนที่ทีมแทบจะขาดไม่ได้แล้วในเกมรุก

 

สตาร์ที่ย้ายมาจากเบนฟิกาด้วยค่าตัวเหยียบ 100 ล้านยูโร ถูกปรับบทบาทใหม่จากการยืนศูนย์หน้ามาเป็นตำแหน่งปีกซ้ายแทน และกลายเป็นตัวอันตรายของคู่แข่ง เพราะความเร็วและพลังของนูนเญซนั้นน่าเหลือเชื่ออย่างมาก

 

ความดิบ (Raw) ที่มีอัดแน่นในตัว ทำให้นูนเญซสามารถสร้างภาวะความสับสนอลหม่าน (Chaos) ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในปรัชญาการเล่นของลิเวอร์พูลในแบบของคล็อปป์ได้ แม้ว่าจะแตกต่างจากวันที่มีนักเตะที่ไว้ใจได้เสมออย่าง ซาดิโอ มาเน มาก แต่อย่างน้อยความที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้นี่ก็ถือเป็นอาวุธเหมือนกัน

 

สิ่งที่น่าสนใจคือนูนเญซเป็นนักเตะที่เล่นเข้าคู่กับซาลาห์ได้แบบงงๆ โดยทั้งสองคนนั้นจับคู่กันสร้างโอกาสได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วย

 

แต่นอกเหนือจากเรื่องของประสิทธิภาพและประโยชน์ในสนามแล้ว นูนเญซยังเป็นนักเตะที่จุดประกายให้ทีมได้เป็นอย่างดี เพราะการเล่นแบบไม่คิดอะไรมาก ทุ่มเททุกเม็ด ทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะขวัญใจของแฟนบอล

 

ต่อให้เจ้าตัวจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ และเดอะ ค็อป จะไม่เข้าใจภาษาสเปนก็ไม่เป็นไร

 

ความรู้สึกนั้นมันสื่อถึงกัน และหากจะหาคนที่เป็นความหวังเล่นงานแนวรับของยูไนเต็ดที่แข็งแกร่งมากได้ นูนเญซคือคนนั้นของลิเวอร์พูล

 

น่าจะหวังได้มากกว่าแนวรุกคนอื่นๆ รวมถึงซาลาห์ที่ฟอร์มไม่ค่อยดีนักในช่วงนี้

 

 

จุดเปลี่ยนหรือจุดจบ?

 

มองตามตารางอันดับ ลิเวอร์พูลอยู่ที่ 6 มี 39 แต้ม ตามหลังท็อตแนม ฮอตสเปอร์ อันดับ 4 อยู่ 6 แต้ม และมีเกมในมืออีก 1 นัด ซึ่งถ้ามองแบบนี้ถือว่ายังมีโอกาสลุ้นติดท็อปโฟร์ตามที่คล็อปป์พยายามบอกก่อนเกมกับวูล์ฟส์

 

อย่างไรก็ดี หากมองให้ถ้วนถี่ยังมีคู่แข่งอย่างนิวคาสเซิลอยู่ด้วย แม้ว่าทีมของ เอ็ดดี ฮาว จะเริ่มแผ่วลงพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถประมาทได้ ซึ่งทำให้ลิเวอร์พูลจำเป็นต้องพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดในช่วง 14 นัดที่เหลือนับจากนี้ไปจนจบฤดูกาล

 

คล็อปป์เชื่อว่าด้วยประสบการณ์แล้ว และทิศทางทุกอย่างที่เริ่มดูดีขึ้น ลิเวอร์พูลมีโอกาสจะทำได้แบบในฤดูกาล 2020/21 (แม้จะเจียนตายและต้องอาศัยลูกโหม่งปาฏิหาริย์ของ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ช่วยในเกมกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียน ก็ตาม) 

 

แต่มองในอีกมุม แมนฯ ยูไนเต็ด เองก็แอบมีลุ้นถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกเช่นกัน พวกเขาอาจจะตามหลังอาร์เซนอลไกล 11 แต้ม แต่มีเกมในมือ 1 นัด ซึ่งหากชนะลิเวอร์พูลและชนะในเกมตกค้างได้ก็จะเหลือแค่ 8 แต้ม

 

8 แต้มกับจำนวนเกมที่เหลือไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ และเชื่อว่านักเตะปีศาจแดงรวมถึงเทน ฮาก เองก็ย่อมอยากจะลุยให้ไกลที่สุด เพราะถ้าหวังจะเป็นทีมผู้พิชิตก็ต้องลุยกันตั้งแต่ตอนนี้เลย

 

และหากพวกเขาจะเก็บชัยชนะสำคัญเพื่อไล่ล่าจ่าฝูง หรืออย่างน้อยแซงรองจ่าฝูงอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีแต้มมากกว่า 6 คะแนน แต่แข่งมากกว่า 1 นัด ด้วยการดับความหวังของลิเวอร์พูลได้ มันก็จะเป็นเรื่องที่ดีต่อใจ Red Army มากๆ

 

ความสำคัญในระดับนี้ทำให้บรรยากาศของเกมแดงเดือดวันอาทิตย์นี้ ซึ่งจะเป็นนัดแรกของปี 2023 และเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของฤดูกาลนี้ น่าจะคึกคักขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่าแมตช์เมื่อต้นฤดูกาล

 

แต่จะเป็นจุดเปลี่ยนของหงส์แดง

 

หรือจะเป็นจุดจบที่ปีศาจแดงยัดเยียดให้

 

คำตอบอยู่ที่แอนฟิลด์วันอาทิตย์นี้

 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X