×

‘Reinvent’ ถึงเวลาที่ลิเวอร์พูลต้องเปลี่ยน หลังคืนแห่งความวายวอดที่เนเปิลส์

08.09.2022
  • LOADING...
เจอร์เกน คล็อปป์

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • ความพ่ายแพ้ที่ถูกนาโปลีไล่ต้อนแบบสอนบอลให้น้องเล่น 4-1 ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (7 กันยายน) น่าจะเป็นจุดต่ำที่สุดที่คล็อปป์เคยเจอ โดยเฉพาะกับทีมลิเวอร์พูลที่เขาภาคภูมิใจในแนวทางและวิธีการเล่น
  • ในประเด็นเกมรับ คล็อปป์ยืนยันว่าการดันกองหลังสูงของเขาในการรับมือแนวรุกของนาโปลีที่รวดเร็วไม่ใช่ปัญหา
  • สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือการที่คล็อปป์ยอมรับว่าทีมจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง “เราจำเป็นต้องคิดค้นสิ่งใหม่ๆ กันอีกครั้ง พวกเรื่องพื้นฐานหายไปหมดเลย มันเป็นเรื่องยากที่จะปรับกลางทางของฤดูกาลแบบนี้”

จะชื่อ สตาดิโอ ดิเอโก อาร์มันโด มาราโดนา หรือซาน เปาโล สนามแห่งนี้ก็ไม่เคยปรานีลิเวอร์พูล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจอร์เกน คล็อปป์ เลยสักครั้ง เพราะไม่ว่าจะมาเยือนกี่ทีก็จะเจ็บตัวพ่ายแพ้กลับไปเสมอ

 

แต่ความพ่ายแพ้ที่ถูกนาโปลีไล่ต้อนแบบสอนบอลให้น้องเล่น 4-1 ในเกมยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา (7 กันยายน) น่าจะเป็นจุดต่ำที่สุดที่คล็อปป์เคยเจอ โดยเฉพาะกับทีมลิเวอร์พูลที่เขาภาคภูมิใจในแนวทางและวิธีการเล่น

 

ตลอดระยะเวลาเกือบ 7 ปีที่ผ่านมาผู้จัดการทีมชาวเยอรมันใช้เวลาในการปลูกฝังแนวคิดวิธีการเล่นฟุตบอลในแบบที่เรียกว่า ‘Gegenpressing’ (หรือใครจะเรียก Heavy Metal Football ก็ไม่เป็นไร) ระบบการเล่นที่ดุดัน ทรงพลัง เร้าใจ ไล่กันตั้งแต่แดนบนจรดแดนหลัง ไม่เปิดโอกาสให้คู่แข่งได้มีเวลาหายใจหายคอ

 

หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญของระบบการเล่นนี้คือการยืนเกมรับสูงที่เรียกว่า High Line ที่แนวรับจะดันขึ้นมาถึงใกล้เส้นกึ่งกลางสนามเพื่อบีบพื้นที่ให้คู่ต่อสู้มีพื้นที่และเวลาน้อยที่สุด เป็นการเล่นทั้งเพรสซิงและเคาน์เตอร์เพรสซิง (การไล่บอลทันทีไม่ให้คู่แข่งสวนกลับ)

 

แต่นับจากฤดูกาล 2022/23 เริ่มดูเหมือนระบบการเล่นนี้ โดยเฉพาะการยืนกองหลังสูงจะนำลิเวอร์พูลไปสู่หายนะ โดยหลังจากที่ได้เห็นคู่แข่งพยายามเล่นงานจุดนี้จนทำให้ทั้งเสียท่าและเกือบเสียทีแต่รอดตัวมาในหลายนัด เกมแชมเปียนส์ลีกเมื่อคืนนี้ไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ให้กับทีมที่เพิ่งเป็นรองแชมป์ยุโรป และเคยสร้างปรากฏการณ์ไล่ล่า 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียวอีก

 

ไม่ถึงนาทีแรก วิคเตอร์ โอซิมเฮน กองหน้าตัวเก่งของนาโปลีซึ่งเคยมีข่าวว่า จอร์จ เมนเดส ซูเปอร์เอเจนต์พยายามใช้เป็นสะพานให้ คริสเตียโน โรนัลโด ได้ย้ายทีมก็ได้โอกาสยิงชนเสา ก่อนที่พวกเขาจะเล่นงานจุดอ่อนนี้อย่างต่อเนื่องจนนำไปสู่ประตูขึ้นนำในนาทีที่ 5 เมื่อ ควิชา ควารัตสเคเลีย ปีกดาวเด่นชาวจอร์เจียหลุดไปเปิดบอลให้ มัตเตโอ โปลิตาโน เติมมายิงแถวสองโดนแขนของ เจมส์ มิลเนอร์ และเป็น ปิโอเตอร์ ซีลินสกี ที่รับหน้าที่สังหารเข้าไป

 

ลิเวอร์พูลยังเสียจุดโทษที่ 2 อีกในนาทีที่ 10 คราวนี้โอซิมเฮนหลุดไปและถูก เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่ตามมาสกัดทำฟาวล์ในเขตโทษ ซึ่งเป็นการทำเสียจุดโทษครั้งที่ 2 ในฤดูกาลนี้ของยักษ์ดัตช์ที่ปกติแล้วแทบไม่เคยเสียเหลี่ยมคู่ต่อสู้เลย เพียงแต่ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ช่วยชีวิตลิเวอร์พูลได้

 

แต่ฝันร้ายมาไม่รู้จบโดยเฉพาะ โอซิมเฮน และ ควารัตสเคเลีย สองตัวรุกสายฟ้าฟาดที่ผลัดกันสบโอกาสเล่นงานลิเวอร์พูลจนปั่นป่วนซวนเซ สุดท้ายก็นำไปสู่ประตู 2-0 ของ อังเดร-แฟรงก์ แซมโบ แองกิซา ในนาทีที่ 31 และ โจวานนี ซิเมโอเน บุตรชายของ ดิเอโก ซิเมโอเน ที่ลงมาแทนโอซิมเฮนซึ่งบาดเจ็บ ยิงก่อนหมดครึ่งแรกในนาทีที่ 44


และเมื่อกลับมาเล่นใหม่ในครึ่งหลังซึ่งมีการถอด โจ โกเมซ ที่เล่นได้เลวร้ายที่สุดนัดหนึ่งออกให้ โจเอล มาติป ที่มีประสบการณ์มากกว่าลงมาแทน ก็ยังไม่วายโดนเล่นงานทันทีแค่ 2 นาทีหลังเขี่ยเริ่มเกม เมื่อซิเมโอเนได้บอลวางยาวทะลุ High Line หลุดไปเปิดมาให้ซีลินสกีจบสกอร์จังหวะแรกพลาดแต่ยังซ้ำจังหวะสองได้

 

หลุยส์ ดิอาซ ยิงไล่คืนให้ลิเวอร์พูลได้ประตูปลอบใจในอีก 2 นาทีถัดมาแต่ช่วงเวลาที่เหลือพวกเขา – ซึ่งรวมถึงสตาร์ใหม่ค่าตัวแพงระยับอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ – ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นมากพอที่จะแก้ไขทุกสิ่งที่ผิดพลาด ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘mentality Monster’ ที่เคยภูมิใจ ปล่อยให้นาโปลีซึ่งพอใจกับผลการแข่งขันแล้วผ่อนเกมไม่โหมต่อ แต่ก็ยังมีจังหวะเล่นงานกองหลังสูงได้เรื่อยๆ แค่จบสกอร์เพิ่มไม่ได้ ก่อนที่สุดท้ายจะชนะไป 4-1

 

ความปราชัยแบบหมดรูปครั้งนี้ทำให้คล็อปป์ต้องเดินไปหาแฟนบอลเดอะ ค็อปที่ตามมาเชียร์ถึงอิตาลี โดยไม่ได้เป็นการชกลมด้วยความสะใจเหมือนทุกครั้ง แต่เป็นการยกมือเพื่อขอโทษที่อุตส่าห์ลำบากเดินทางมาไกลเพื่อเห็นทีมในสภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้

 

“ผมรู้ว่าพวกเขาต้องลงทุนอะไรบ้างเพื่อจะมาที่นี่ และมันก็เป็นคืนที่น่าผิดหวังอย่างยิ่ง ดังนั้นผมต้องไปขอโทษพวกเขา” คล็อปป์กล่าว

 

“คืนนี้เป็นคืนที่ผมได้เห็นทีมฟุตบอลที่เล่นกันได้หละหลวมที่สุดในระยะเวลายาวนาน นาโปลีเล่นได้ดี แต่พวกเราก็ทำให้พวกเขาเจองานง่าย เราเสียบอลในพื้นที่ที่ทำให้เราต้องเจอสถานการณ์ของการสวนกลับทันทีซึ่งมันไม่ควรเกิดขึ้น”

 

ในประเด็นเกมรับ คล็อปป์ยืนยันว่าการดันกองหลังสูงของเขาในการรับมือแนวรุกของนาโปลีที่รวดเร็วไม่ใช่ปัญหา “การเล่นหลังสูงจะไม่เสี่ยงในเวลาที่เราพยายามกดดันเพื่อชิงบอล ถ้าเราไม่กดดันคนที่ครองบอลมากพอมันถึงจะเสี่ยง แต่มันก็ไม่ใช่กรณีปกติ ปัญหาก็คือเราไม่ได้ประชิดมากพอที่จะทำให้คู่แข่งตกอยู่ใต้ความกดดัน”

 

โดยในเรื่องสุดท้ายคล็อปป์หมายถึงความดุดันในการเล่นหรือ ‘Intensity’ ที่เข้มข้นจริงจังเป็นนักล่าในสนาม ซึ่งเรื่องนี้ตรงกับความเห็นของ เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังระดับตำนานที่วิเคราะห์การแข่งขันทางรายการ Golazo สถานี CBS ว่า “ลิเวอร์พูลไม่สามารถจะเล่นกองหลังสูงและดักล้ำหน้าในขณะที่ความดุดันในการเล่นโดยเฉพาะในแดนกลางไม่มีแบบนี้ คุณต้องปรับ มันเห็นได้ชัดมาตลอดทั้งฤดูกาลแล้ว”

 

อย่างไรก็ดี น่าสังเกตว่าเมื่อ ติอาโก อัลกันตารา ที่หายเจ็บกลับมาถูกเปลี่ยนตัวลงมาในช่วงครึ่งหลังแทน เจมส์ มิลเนอร์ ที่ดูหมดสภาพตั้งแต่เริ่มเกม จอมทัพชาวสเปนสามารถทำให้ลิเวอร์พูลเริ่มกลับมามีทรงได้บ้าง และยังตัดทำลายเกมของนาโปลีได้ถึง 6 ครั้งในระยะเวลาไม่ถึง 45 นาที ซึ่งมากกว่านักเตะหลายคนในทีมรวมกันทั้งเกมเสียอีก

 

นั่นแปลว่าปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่ระบบทั้งหมดแต่อยู่ที่ผู้เล่นด้วย ซึ่งหลายคน ‘ภาษากาย’ น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ แบ็กขวาที่ตอนนี้เกมรุกก็ไม่ได้ เกมรับยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดูเหยาะแหยะอย่างมาก

 

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดหลังจากนี้คือการที่คล็อปป์ยอมรับว่าทีมจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง “เราจำเป็นต้องคิดค้นสิ่งใหม่ๆ กันอีกครั้ง พวกเรื่องพื้นฐานหายไปหมดเลย มันเป็นเรื่องยากที่จะปรับกลางทางของฤดูกาลแบบนี้”

 

ตรงนี้น่าสนใจว่าคล็อปป์จะ ‘Reinvent’ ด้วยการปรับหรือเปลี่ยนทีมแบบไหน? และมันจะเป็นการทำลายความศรัทธาต่อความเชื่อในการทำทีมของผู้จัดการทีมชาวเยอรมันที่ไม่เคยมีแผนสำรอง เพราะถ้ามีแผนสำรองหมายถึงการที่แผนหลักไม่ได้ผลหรือไม่

 

ตลอดมาลิเวอร์พูลจะมี 3 คำในใจเสมอคือ Gegenpressing, Mentality Monster และ Intensity ซึ่งเมื่อหายไปทำให้เครื่องจักรสีแดงมีสภาพ “เบรกสะบัด ครัชเสีย เกียร์หลุด เครื่องสะดุด เพลาหัก สลักหาย หัวเทียนบอด ยางแฟบ แหนบตาย โช้คหัก ไฟไม่จ่าย ไดไม่ชาร์จ ไดสตาร์ทพัง”

 

รถซิ่งสีแดงเพลิงจึงกลายสภาพเป็นรถเก่าๆ ที่ทำอะไรไม่ได้มากกว่าการวิ่งประคองตัวเพื่อไปอู่ซ่อม

 

แต่ยังมีอีกคำหนึ่งที่ลิเวอร์พูลท่องไว้เป็นคาถาคุ้มภัยและทำให้รอดตัวจากวิกฤตมาได้ทุกครั้ง 

 

คำนั้นคือคำว่า “Never Give Up”

 

แม้ว่าจะมองไปในนัยน์ตาของนักเตะลิเวอร์พูลเวลานี้แล้วมันว่างเปล่าเหลือเกินก็ตาม

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X