ในขณะที่หลายคนได้ตั้งปณิธาณ New Year’s Resolution สำหรับปีใหม่ที่อยากจะเริ่มต้นสิ่งใหม่ เป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม แต่สำหรับลิเวอร์พูล พวกเขาเริ่มต้นปี 2023 ได้อย่างไม่ดีต่อใจนัก เมื่อพ่ายแพ้ต่อเบรนท์ฟอร์ดไปแบบหมดสภาพ 1-3
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้ส่งผลต่อโอกาสในการลุ้นทำอันดับติดกลุ่มท็อปโฟร์ไม่มากก็น้อย เพราะแม้ว่าฤดูกาลจะยังเหลืออีกเกินครึ่ง แต่จากฟอร์มการเล่นที่เห็นในเวลานี้ ดูเหมือนนอกจากอาร์เซนอล และแมนเชสเตอร์ ซิตี้ที่แข็งแกร่งสุดๆ แล้ว ทีมอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดเองก็อยู่ในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมด้วยเช่นกัน
การแพ้ที่จีเทคคอมมิวนิตี้สเตเดียมเมื่อคืนวันจันทร์ที่ผ่านมา แม้จะดูเป็นความหละหลวมของเกมรับ โดย อิบราฮิมา โกนาเต ทำเข้าประตูตัวเองหนึ่ง พลาดโดน ไบรอัน เอ็มโบโม ฉกเอาบอลไปอีกหนึ่ง และเสียบอลง่ายๆ จนโดนบุกสวนและลงโทษ (ไม่นับ VAR ช่วยชีวิตไว้อีก 2 ครั้ง) แต่ปัญหาใหญ่ที่แฟนลิเวอร์พูลทั่วโลกกำลังถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายในเวลานี้อยู่ที่แผลใหญ่
แดนกลางมันไม่ใช่ชักจะไม่ไหว แต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ทำอะไรบ้างสิ!
ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ตัวเล็กเกินจะเล่นแดนกลางในระบบของคล็อปป์?
เครื่องยนต์ขัดข้อง = เครื่องจักรสีแดงไม่ทำงาน
ย้อนกลับไปในเกมที่ลิเวอร์พูลแพ้เบรนท์ฟอร์ด แผงกลางประกอบไปด้วย ฟาบินโญ, ติอาโก อัลกันตารา และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์
คนที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือดาวรุ่งอย่างเอลเลียตต์ ที่ดูจะกลายเป็น ‘จุดอ่อน’ ของแผงแดนกลางในเวลานี้ โดยเฉพาะในช่วงที่พี่ๆ อย่างฟาบินโญ และติอาโก ไม่สามารถจะแบกได้ทุกนัด ซึ่งการที่ เจอร์เกน คล็อปป์ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวออกมาในช่วงพักครึ่ง (พร้อมกับ คอสตาส ซิมิคาส และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค) เป็นการบ่งบอกได้ดีว่าผลงานไม่ผ่าน
ในขณะที่ตัวสำรองที่ลงมาแทนอย่าง นาบี เกอิตา แม้จะช่วยขับเคลื่อนและทำให้ทรงบอลดีขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรให้กับทีมได้
และนี่คือปัญหาใหญ่ของลิเวอร์พูล โดย เจมี คาร์ราเกอร์ อดีตกองหลังระดับตำนาน ที่ปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์ทาง Sky Sports ชี้ให้เห็นจุดสำคัญว่า “4 ปีครึ่งที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลซื้อผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางเข้ามาเสริมทัพแค่คนเดียวเท่านั้น” ซึ่งการที่แดนกลางจะทรุดแบบนี้ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และฟาบินโญ แบกทีมมายาวนานหลายปี ขณะที่ ติอาโก อัลกันตารา ซึ่งเป็นกองกลางที่ถูกซื้อมาแบบพิเศษ เพราะปกติลิเวอร์พูลจะไม่ซื้อกองกลางที่อายุมาก แม้จะทำผลงานได้ดี แต่อายุมากและมีอาการบาดเจ็บเป็นระยะ
ขณะที่ตัวอื่นๆ อย่าง นาบี เกอิตา, เคอร์ติส โจนส์, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เอลเลียตต์ ไปจนถึง ฟาบิโอ คาร์วัลโญ ยังไม่สามารถก้าวขึ้นมาทดแทนได้ โดยที่เรายังไม่ได้พูดถึง อาร์ตูร์ เมโล กองกลางทีมชาติบราซิลที่ย้ายมาร่วมทีมในแบบยืมตัว แต่กลายเป็นต้องมารักษาตัวแทน และคนที่เป็นอนาคตในวันข้างหน้าอย่าง สเตฟาน ไบเซติช ที่ยังไม่ควรแบกรับความกดดันในเวลานี้
จุดที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาคือ ลิเวอร์พูลไม่มีกองกลางที่สามารถช่วย ‘ปกป้อง’ ทีมได้อีกเลย นับจากที่เสีย จินี ไวจ์นาลดุม ที่หมดสัญญาไป และไม่มีตัวผู้เล่นสดๆ ที่จะสามารถขับเคลื่อนแกนของทีมได้เหมือนในอดีต
เมื่อแดนกลางไม่มีประสิทธิภาพ ปัญหาอื่นก็ตามมาโดยเฉพาะเกมรับที่เสียประตูง่ายเกินไป ยิ่งในวันที่เล่นในระบบปกติ 4-3-3 แล้วโอกาสที่จะโดนคู่แข่งวางแผนเล่นงานย้อนเกร็ดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจนชินตาในฤดูกาลนี้
จูด เบลลิงแฮม เป้าหมายที่อาจเป็นได้แค่ความฝัน
แล้วทำไมไม่ซื้อใครสักที?
ความจริงย้อนกลับไปในช่วงก่อนปีใหม่ ลิเวอร์พูลคว้าตัว โคดี กักโป กองหน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์ที่หลายทีมหมายปอง – โดยเฉพาะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – มาได้ก็เป็นข่าวดีที่ทำให้หลายคนมีความสุขแล้ว
แต่เมื่อแพ้เบรนท์ฟอร์ด ทำให้คำถามในเรื่องของแดนกลางกลับมาอีกครั้ง และกลายเป็นความกดดันสำหรับเจ้าของสโมสรอย่าง FSG และทีมงานที่นำโดย จูเลียน วอร์ด ที่จะทำงานถึงแค่สิ้นสุดฤดูกาลนี้
ก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลมีข่าวกับผู้เล่นแดนกลางชื่อชั้นดีหลายคน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เล่นที่ทำผลงานได้ดีในช่วงฟุตบอลโลก ซึ่งทำให้เดอะค็อปดี๊ด๊ากันอยู่ไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็น จูด เบลลิงแฮม ดาวเตะพรสวรรค์จากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์, เอนโซ เฟร์นานเดซ ที่มีส่วนในการพาอาร์เจนตินาเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก หรือ ซอฟยาน อัมราบัต กองกลางตัวแกร่งของทีมชาติโมร็อกโก
แน่นอนว่า 2 รายแรกเป็นชื่อที่น่าตื่นเต้น และดูเหมือนจะมีการ ‘ปั่น’ ข่าวกันว่าลิเวอร์พูลสนใจและมีโอกาส แต่ในความเป็นจริงแล้วโอกาสที่จะได้ตัวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยรายแรกนั้นจะรอย้ายทีมหลังจบฤดูกาลนี้เท่านั้น ซึ่งนั่นหมายถึงลิเวอร์พูลต้องอดทนรอไปก่อน
ในขณะที่รายหลังมีโอกาสจะย้ายทีมได้ในตอนนี้ แต่ต้องจ่ายค่าฉีกสัญญาถึง 120 ล้านยูโร ซึ่งลิเวอร์พูลไม่ใช่ทีมที่ขยับ แต่เป็นเชลซีที่มีข่าวว่าใกล้ได้ตัวในเวลานี้
แล้วแบบนี้ลิเวอร์พูลจะซื้อใครไหม?
ยังเป็นเรื่องที่ตอบได้ยาก แต่ยึดจากคำของ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่พูดก่อนเกมกับเบรนท์ฟอร์ดว่า “ไม่อยากจะดับฝันใคร แต่ทีมเพิ่งซื้อกักโปมา” แปลว่าโอกาสที่ลิเวอร์พูลจะไม่ขยับในตลาดฤดูหนาวเป็นไปได้สูง เพราะนโยบายของทีมมอง ‘ระยะยาว’ เสมอ
นั่นหมายถึงพวกเขาอาจจะอดทน และไปวัดตอนปิดฤดูกาลว่าจะได้ตัวเด่นอย่างเบลลิงแฮมไหมเลย แม้จะเริ่มลำบากเพราะเรอัล มาดริดดูจะกลายเป็นตัวเต็งไปแล้วในเวลานี้
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าลิเวอร์พูลจะไม่เคยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า การคว้าตัว หลุยส์ ดิอาซ ในช่วงก่อนตลาดการซื้อขายปิดในปีที่แล้วก็มาแบบไม่คาดฝันเช่นกัน
เพียงแต่ในขั้นต้นสิ่งที่คล็อปป์จะทำในสไตล์ของตัวเองคือการปรับจูนทีม ‘เท่าที่มี’ ซึ่งจากฟอร์มของเกอิตา หากไม่บาดเจ็บน่าจะขยับขึ้นมาช่วยทีมได้ดีขึ้น และปัญหาของทีมไม่ได้อยู่แค่แดนกลาง เพราะมันเป็นทุกจุด ตั้งแต่แดนหน้าที่ความจริงแล้วคือหน่วยแรกที่จะต้องเปิดเกมเพรสซิงด้วย แต่มันหายไปในระยะหลัง
แต่ถ้าสุดแล้วไม่เวิร์ก เดอะค็อปอาจจะต้องภาวนาหรือช่วยกันสร้างแรงกดดันจนทำให้ทีมยอมขยับ แม้จะไม่สามารถการันตีอะไรได้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ส่งเสียงอะไรเลย