ความจริงแล้วมันควรเป็นเกมแห่งฤดูกาลที่ทุกคนเฝ้ารอคอย…
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แมตช์ระหว่างลิเวอร์พูลกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือสุดยอดแมตช์ของพรีเมียร์ลีกที่มีระดับคุณภาพสูงสุดและเป็นเกมที่มีความหมายมากที่สุดด้วย เพราะส่งผลโดยตรงต่อโอกาสในการลุ้นแชมป์ระหว่างทั้งสองทีม
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะทีมของ เจอร์เกน คล็อปป์ และทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ต่างห้ำหั่นกันแบบแลกด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ ไม่มีใครยอมใครทั้งสิ้น และนั่นทำให้เราได้เห็นการขับเคี่ยวที่สุดเหลือเชื่ออย่างในฤดูกาล 2018/19 หรือแม้แต่ในฤดูกาลที่แล้วที่ทั้งสองทีมต่างเก็บชัยชนะกันเป็นว่าเล่นจนวัดกันถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาลจริงๆ
แต่สิ่งนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นในปีนี้ เพราะลิเวอร์พูลไม่ได้อยู่ในสภาพที่จะมาเบียดลุ้นแชมป์อะไรอีกแล้ว เรื่องนี้มันชัดเจนมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล และยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไรก็ยิ่งมองเห็นความตกต่ำของทีมที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘Mentality Monster’ ที่ไม่เคยยอมแพ้ใครได้มากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะความพ่ายแพ้ในเกมนัดล่าสุดต่อบอร์นมัธ ทีมที่พวกเขาเคยถล่มอย่างย่อยยับถึง 9-0 เมื่อช่วงต้นฤดูกาล (และเป็นหนึ่งใน 2 นัดที่พวกเขาเล่นได้อย่างน่าประทับใจที่ชวนให้คิดถึงลิเวอร์พูลในแบบของคล็อปป์ โดยอีกนัดคือการเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 7-0)
ความพ่ายแพ้ต่อ ‘The Cherries’ ทำให้สถานการณ์ในการลุ้นชิงพื้นที่ไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฐานะทีมท็อปโฟร์ของลิเวอร์พูลอยู่ในขั้น ‘วิกฤต’ มากกว่าเดิม
ลิเวอร์พูลที่ไล่ล่า Quadruple Champ หรือ ‘4 แชมป์’ จนสุดทาง 63 นัดในฤดูกาลที่แล้ว อยู่ในอันดับที่ 6 เวลานี้ ตกรอบฟุตบอลถ้วยทุกรายการ และตามหลังทีมอันดับ 4 ท็อตแนม ฮอตสเปอร์อยู่ 7 คะแนนด้วยกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเกมในมืออีก 2 นัด และทีมจากลอนดอนจะต้องมาเยือนแอนฟิลด์หลังจากนี้ด้วย (โดยที่เรายังไม่ได้พูดถึงนิวคาสเซิลและไบรท์ตันที่ฟอร์มการเล่นร้อนแรงในเวลานี้)
แต่ด้วยฟอร์มที่ไม่สม่ำเสมอจนสม่ำเสมอของพวกเขา การจะคาดหวังว่าลิเวอร์พูลจะกลับมางัดฟอร์มโหดเหมือนตอนฤดูกาล 2018/19 และ 2021/22 เป็นเรื่องที่ดูเหมือนจะห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่มาก
แบบนี้แปลว่าเดอะ ค็อปไม่ควรจะหวังอะไรแล้วใช่หรือไม่?
คำตอบนั้นเราอาจต้องย้อนกลับไปในฤดูกาล 2020/21 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ดูใกล้เคียงกับฤดูกาลปัจจุบันที่ทีมของคล็อปป์อยู่ในสภาพพังพินาศจากปัญหาการขาดผู้เล่นเสาหลักในแนวรับที่ปิดฉากฤดูกาลไปหมดทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค, โจ โกเมซ และ โจเอล มาทิป พวกเขาอาการหนักถึงขั้นแพ้คาแอนฟิลด์ติดต่อกัน 6 นัด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยแพ้ในบ้านเลยเป็นเวลา 4 ปี
แต่ลิเวอร์พูลกลับสามารถเร่งเครื่องในช่วงท้ายฤดูกาลได้อย่างน่ามหัศจรรย์ (รวมถึงหนึ่งในเกมมหัศจรรย์อย่างการบุกไปเอาชนะเวสต์บรอมวิช อัลเบียนได้ที่เดอะ ฮอว์ธอร์นส์ ด้วยประตูจากลูกโหม่งของ อลิสสัน เบ็คเกอร์) และคว้าอันดับที่ 3 ไปครองได้แบบเหลือเชื่อ
ครั้งนี้ทุกคนในแอนฟิลด์กำลังหวังว่าจะทำในสิ่งเดียวกันให้ได้อีกสักครั้ง
‘ทุกนัดคือนัดชิง’ คือสิ่งที่หนึ่งใน ‘Invisible Leader’ หรือผู้นำล่องหนของทีมอย่าง แอนดี โรเบิร์ตสัน พยายามปลุกเร้าเพื่อนร่วมทีมไปจนถึงกองเชียร์ทุกคนว่าจากนี้ทุกเกมไปจนจบฤดูกาลซึ่งเหลือทั้งสิ้น 12 นัดนั้นไม่ต่างอะไรจากการลงสนามในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย
ปัญหาอยู่ที่ใน 12 นัดที่เหลือนั้นลิเวอร์พูลต้องเจอกับโปรแกรมที่โหดสุดๆ 3 นัดติดต่อกัน
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เยือน)
เชลซี (เยือน)
และอาร์เซนอล (เหย้า)
โรเบิร์ตสัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เล่นไม่กี่คนที่เริ่มเรียกฟอร์มเก่าๆ ของตัวเองกลับมาได้ เปรียบเทียบว่านี่คือสัปดาห์สำคัญ ‘Intense Week’
ถ้าลิเวอร์พูลผ่านสัปดาห์นี้ไปไม่ได้ อีก 9 นัดที่เหลือของฤดูกาลนั้นอาจจะกลายเป็นเกมที่ไม่มีความหมายอะไรมากกว่าแค่แข่งให้ครบจบตามโปรแกรม
ยังไม่ต้องมองไกลไปถึงเกมกับเชลซี ที่ทีมของ เกรแฮม พอตเตอร์ เริ่มกลับมาเก็บชัยชนะได้บ้างแม้จะยังมีอาการหลุดฟอร์มให้เห็นก็ตาม หรือกับจ่าฝูงอาร์เซนอลที่ตอนนี้เป็นเหมือนลิเวอร์พูลในเงาสะท้อนเมื่อฤดูกาล 2019/20 ปีที่พวกเขากลับมาเป็นแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ซึ่งเป็นสองเกมที่ตอนนี้ยังถือว่า ‘ไกล’ แม้มันจะอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ตาม
สิ่งที่ลิเวอร์พูลต้องโฟกัสตอนนี้คือเกมในช่วงเที่ยงวันของสัปดาห์แรกที่มีการปรับเปลี่ยนเวลามาเป็น Summer Time กับแมนฯ ซิตี้ ซึ่งแม้จะลุ่มๆ ดอนๆ พอกัน แต่ก็ยังอยู่ในเส้นทางของการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอยู่เช่นกัน
เป๊ปและทีมของพวกเขาเองก็รู้ว่าพวกเขาเองก็พลาดไม่ได้ เพราะการตามหลังอาร์เซนอล 8 แต้ม โดยที่จำนวนเกมเหลือเพียงแค่ 11 นัด (มีเกมในมืออีก 1 นัด และต้องเจออาร์เซนอลอีกครั้งด้วย) หากพลาดท่าเสียทีต่อลิเวอร์พูลก็อาจเป็นการโยนผ้ายกแชมป์ให้ทีมของ มิเกล อาร์เตตา ที่ทั้งมั่นใจและกำลังได้ใจได้เลย
ข่าวดีสำหรับคล็อปป์คือการที่เป๊ปจะไม่มี ฟิล โฟเดน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวรุกที่กำลังเรียกฟอร์มเก่าๆ กลับมาได้ และเป็นหนึ่งในนักเตะที่ลิเวอร์พูลรับมือไม่ค่อยได้ และอีกคนคือ เออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ กองหน้าที่กลับมายิงเป็นปืนกลในช่วงที่ผ่านมาที่มีอาการบาดเจ็บและมีสัญญาณว่าอาจจะไม่พร้อมสำหรับการลงสนามในนัดนี้
นั่นหมายถึงพลังทำลายล้างในเกมรุกของซิตี้น่าจะลดลงไปพอสมควร
แต่ปัญหาใหญ่ที่น่ากังวลกว่าสำหรับคล็อปป์คือการจะปลุกเร้าทีมอย่างไรให้กลับมาเล่นในระดับที่เคยเล่นได้อย่างสม่ำเสมออีกครั้งมากกว่า
ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเคยชนะติดต่อกันมากที่สุดเพียงแค่ 4 นัดเท่านั้น (และมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมานี่เอง) ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับระดับมาตรฐานที่เคยทำมา ปัญหาใหญ่อยู่ที่ฟอร์มการเล่นในเกมเยือนที่เข้าขั้นวิบัติสุดๆ ในฤดูกาลนี้
ลิเวอร์พูลยามออกนอกแอนฟิลด์พวกเขาคว้าชัยชนะได้แค่ 3 นัด จากจำนวนเกมทั้งหมด 13 นัด โดยเป็นการแพ้ถึง 7 นัด ถ้าเทียบกับ 20 สโมสรในพรีเมียร์ลีกแล้วถือว่าเป็นอันดับที่ 13 ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานในช่วงหลายปีที่ผ่านมามาก
เกมรับที่เสียประตูง่ายเกินไปเป็นจุดบอด เช่นกันกับความกระหายในการเล่นที่แทบจะเหมือนคนละทีมกับเวลาที่เล่นในแอนฟิลด์ และนำไปสู่ปัญหาในจุดอื่นเช่นเรื่องของเกมรุกที่พาลสูญเสียความมั่นใจไปด้วย
ปัญหาอาการบาดเจ็บของผู้เล่นสำคัญที่ทยอยผลัดกันเจ็บมีส่วนอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่คนตั้งคำถามมากกว่าคือเรื่องของอาการหมดไฟแบบชัดเจนของนักเตะหลายคนที่ดูแทบไม่เหมือนคนเก่า และหนึ่งในคนที่เริ่มออกมาพูดถึงเรื่องนี้คือ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เสาหลักในแนวรับของทีมที่ยอมรับว่าการกรำศึกหนัก 63 นัดในฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งทุกนัดก็เป็นนัดชิงเหมือนกัน ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจมาก
“พวกเราก็เป็นคนเหมือนกัน” คือคำสารภาพที่น่าเห็นใจและเพียงพอที่จะให้อภัย
แต่ตอนนี้มันมาถึงช่วงสำคัญ ลิเวอร์พูลต้องหาทางกลับมาให้ได้ เพราะการจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมท็อปโฟร์อีกครั้งนั้นไม่ได้มีความหมายแค่เรื่องของเงินรายได้ ซึ่งก็จะกลับมาเป็นเม็ดเงินในการปรับทัพเสริมทีมในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้ที่เชื่อว่าจะมีการผ่าตัดทีมครั้งใหญ่
มันยังเป็นเรื่องของความหวัง เรื่องของแรงดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่ โดยเฉพาะดาวดังหลายคนที่มีข่าวด้วย เช่น จูด เบลลิงแฮม ไปจนถึงเรื่องของความภาคภูมิใจของทีมด้วย
ดังนั้น 12 นัดนับจากนี้คือเส้นทางสุดหฤโหดที่คล็อปป์จะต้องนำลิเวอร์พูลฝ่าไปให้ได้อีกครั้ง
“At the End of the Storm” คือฟ้าวันใหม่ที่ทุกคนหวังว่ามันจะกลับมาสดใสอีกครั้ง
เขาและทีมเคยผ่านมันมาก่อน และหวังว่าจะทำได้อีกสักครั้ง
อ้างอิง: